မျက်လုံး ကျန်းမာရေး : #โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ

Sort

Dry eyes

Dry eyes Tears play a crucial role in keeping our eyes moist, ensuring clear vision by letting light effectively pass through the eye's lens, and supplying oxygen to nourish the eye. They also help fend off infections and keep foreign substances at bay.   Now, when it comes to dry eyes, it's a pretty common issue that can stem from abnormal tear production or tears evaporating too quickly. This can lead to discomfort, irritation, that feeling like there's something foreign in your eye, redness, pain, blurry vision that gets better with blinking, or even feeling like your eyes are tired and heavy. What causes dry eyes can vary—getting older, being a woman (yeah, we're more prone to it), certain allergy medications, spending loads of time on screens, being in places with dust and smoke, gusty winds, and bright lights, they can all have a hand in it.   But hey, the good news is there are ways to tackle dry eyes:   Keep away from things that can make it worse, like strong winds and dust, by popping on some sunglasses and protecting those peepers. Remember to take breaks or blink more often, especially when you're glued to screens for a while. You've got these cool eye drops called artificial tears. There's a type for daytime (more watery) and nighttime (a bit thicker). Which one to use depends on how serious your dry eye situation is. Sometimes your doc might suggest special eye drops that encourage your eyes to make more tears. Give your eyes a treat with warm, clean cloths over your closed eyelids to help them feel better. If the dry eye struggle is real and isn't improving, it's wise to chat with an eye doctor.   All in all, dry eyes can be a bother, but there are solutions out there. It's important to take good care of your eyes, especially when it's all dry outside. If you suspect you've got dry eyes, having a chat with an eye care expert is a smart move.      
Read More

What is the appropriate age for double eyelid surgery?

อายุเท่าไหร่ ถึงทำตาสองชั้นได้ ? หลายคนใฝ่ฝันอยากมีดวงตาคู่สวยคมชัด มีเสน่ห์ การทำศัลยกรรมตาสองชั้นจึงเป็นตัวเลือกยอดนิยม แต่คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือ "อายุเท่าไหร่ ถึงจะทำตาสองชั้นได้อย่างปลอดภัย?" ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ ขอไขข้อข้องใจนี้ พร้อมให้ข้อมูลที่ถูกต้องและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ทำตาสองชั้น...อายุเท่าไหร่ถึงเหมาะสม? โดยทั่วไป จักษุแพทย์มักแนะนำให้ทำศัลยกรรมตาสองชั้นเมื่ออายุ 18 ปีขึ้นไป เพราะโครงสร้างใบหน้าโดยเฉพาะบริเวณดวงตาจะหยุดการเจริญเติบโต ทำให้แพทย์สามารถประเมินรูปทรงดวงตาและออกแบบชั้นตาที่สวยงามได้อย่างแม่นยำ ผลลัพธ์ของการผ่าตัดจึงมีแนวโน้มคงอยู่ยาวนาน   ทำไมต้องรอให้ถึง 18 ปี? โครงสร้างดวงตา : ก่อนอายุ 18 ปี ดวงตายังคงมีการเปลี่ยนแปลง การทำศัลยกรรมในช่วงวัยนี้ อาจทำให้ชั้นตาเปลี่ยนแปลงไปตามการเจริญเติบโต ส่งผลต่อผลลัพธ์ในระยะยาว ความพร้อมทางด้านร่างกาย : ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มักมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง พร้อมรับการผ่าตัด และมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และภาวะแทรกซ้อนต่างๆ   แล้วถ้าอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำได้ไหม? ในบางกรณี จักษุแพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดตาสองชั้นให้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เช่น มีปัญหาทางด้านการมองเห็น : หนังตาตกบังการมองเห็น รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และส่งผลต่อพัฒนาการทางสายตา มีปัญหาชั้นตาผิดปกติ : เช่น ตาสองชั้นข้างเดียว ชั้นตาไม่เท่ากัน ส่งผลต่อบุคลิกภาพ และความมั่นใจ   อายุมาก...ทำตาสองชั้นได้หรือไม่? สำหรับผู้ที่มีอายุมาก ก็สามารถทำศัลยกรรมตาสองชั้นได้ แต่ควรปรึกษาจักษุแพทย์เฉพาะทาง เพื่อประเมินสภาพผิวและปัญหาสุขภาพ รวมถึงพิจารณาการผ่าตัดเสริมอื่นๆ เช่น การยกคิ้ว หรือ การตัดไขมันใต้ตา เพื่อผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และ แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด   ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ ให้บริการศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา โดย จักษุแพทย์เฉพาะทาง มากประสบการณ์ เทคโนโลยีที่ทันสมัย แผลเล็ก ฟื้นตัวไว ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ ดูแลตั้งแต่การตรวจวินิจฉัย วางแผนการรักษา จนถึงหลังการผ่าตัด สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-511-2111
Retina Center

จอประสาทตา: กุญแจสำคัญสู่โลกที่สดใส - ใส่ใจสุขภาพดวงตา ตรวจเช็กก่อนสาย

"จอประสาทตา" กุญแจสำคัญสู่โลกที่สดใส ดวงตา คือ หน้าต่างที่เปิดให้เราเห็นโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความงดงามนั้น มี "จอประสาทตา" หรือเรตินา ทำหน้าที่เสมือนกล้องถ่ายรูปที่มีความละเอียดสูงสุด คอยบันทึกทุกภาพที่เราเห็น แปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วส่งต่อไปยังสมอง ให้เราได้สัมผัสกับสีสัน ความเคลื่อนไหว และรายละเอียดต่างๆ รอบตัว จอประสาทตา สำคัญอย่างไร? ลองนึกภาพว่า หาก "กล้อง" หรือจอประสาทตาของเราเกิดขีดข่วนหรือเสียหาย  ภาพที่ออกมาก็จะเบลอ พร่ามัว ไม่คมชัด จอประสาทตาก็เช่นกัน หากเกิดความผิดปกติ  จะส่งผลโดยตรงต่อการมองเห็น อาจเริ่มจากตามัว มองเห็นภาพบิดเบี้ยว  จนลุกลามถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อคุณภาพชีวิต ภัยเงียบที่จ้องคุกคาม : โรคจอประสาทตา โรคจอประสาทตามีหลายชนิด บางชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ค่อยๆ ทำลายการมองเห็นอย่างช้าๆ จึงเป็น "ภัยเงียบ" ที่เราต้องตระหนักและหมั่นตรวจเช็คสุขภาพดวงตาอยู่เสมอ ตัวอย่างโรคจอประสาทตาที่พบบ่อย ได้แก่ :       • จอประสาทตาเสื่อม : พบมากในผู้สูงอายุ ทำให้สูญเสียการมองเห็นบริเวณกลางภาพ ส่งผลต่อการอ่านหนังสือ การขับรถ และกิจวัตรประจำวันอื่นๆ       • เบาหวานขึ้นจอประสาทตา : ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดที่จอประสาทตาผิดปกติ อาจนำไปสู่การมองเห็นภาพซ้อน หรือสูญเสียการมองเห็นได้       • จอประสาทตาฉีกขาด : เกิดจากการลอกตัวของชั้นจอประสาทตา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างกะทันหัน จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน   ในโอกาสวันจอประสาทตาโลกนี้ โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ ขอเชิญชวนทุกท่านมาดูแลและใส่ใจสุขภาพดวงตา โดยเฉพาะการตรวจเช็คจอประสาทตาเป็นประจำ  เพื่อป้องกันและรักษาความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคทางตา ศูนย์รักษาจอประสาทตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ: มั่นใจ..ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง เรามีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านจอประสาทตา พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย คอยให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคจอประสาทตาอย่างครบวงจร ด้วยความใส่ใจและมาตรฐานระดับสากล เพื่อให้คุณมั่นใจว่าดวงตาของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด  
Children's Eye Center

3 สัญญาณเตือนว่าลูกน้อยอาจมีปัญหาสายตา

3 สัญญาณเตือนว่าลูกน้อยอาจมีปัญหาสายตา   หรี่ตาหรือเอียงคอมอง: ถ้าลูกชอบหรี่ตาหรือเอียงคอเวลาจะมองอะไรไกลๆ เช่น ดูทีวีหรือมองกระดาน อาจเป็นสัญญาณว่ามองไม่ค่อยชัด ชอบเอาของมาดูใกล้ๆ: ถ้าลูกชอบเอาหนังสือหรือของเล่นมาจ่อใกล้หน้า หรือต้องเข้าไปดูทีวีใกล้กว่าปกติ ก็อาจเป็นสัญญาณว่าลูกกำลังมีปัญหาสายตา ขยี้ตาบ่อยๆ: ถึงแม้บางทีเด็กๆ จะขยี้ตาเพราะง่วงหรือเมื่อยล้า แต่ถ้าขยี้ตาบ่อยเกินไป ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าลูกกำลังมีปัญหาสายตาได้เหมือนกัน   สัญญาณอื่นๆ ที่พ่อแม่ควรสังเกต   สมาธิสั้นเวลาต้องใช้สายตา: เช่น ดูทีวี อ่านหนังสือ หรือวาดรูป อ่านหนังสือแล้วชอบหลงบรรทัด: หรืออ่านข้ามๆ ไปบ้าง ไม่อยากทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตา: เช่น ต่อจิ๊กซอว์ ระบายสี หรือเล่นตัวต่อ   ถ้าคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นพฤติกรรมเหล่านี้ในตัวลูก อย่ารอช้า รีบพาลูกไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็กสายตานะคะ การตรวจพบและรักษาปัญหาสายตาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการทางสายตาที่ดี และเติบโตอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีค่ะ ติดต่อ ศูนย์รักษาสายตาเด็ก - โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ โทร 02-023-9929, 02-511-2111
calling
ဆက်သွယ်ရန် : +66965426179