หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับ “โรคหินปูนในตา” แต่รู้หรือไม่ว่า หินปูนที่ตาและหินปูนที่ฟันนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง! ในขณะที่หินปูนที่ฟันเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องเจอและต้องไปขูดออกทุก 6 - 12 เดือน แต่หินปูนที่ตากลับไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน และที่น่าสนใจคือ แม้แต่ผู้ที่เป็นหินปูนที่ตาเองก็ไม่จำเป็นต้องได้รับการขูดออกทุกราย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วย
โรคหินปูนในตา (Conjunctival Concretion) เป็นภาวะที่มีการสะสมของแคลเซียมและโปรตีนในกระจกตาหรือเยื่อตาขาว แล้วโรคหินปูนในตามีสาเหตุมาจากอะไร มีวิธีการรักษาอย่างไร? ไปดูกันเลยในบทความนี้
โรคหินปูนในตา หรือที่แพทย์เรียกว่า “นิ่วในเยื่อบุตา” (Conjunctival Concretion) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน ลักษณะเด่นของโรคนี้คือการมีเม็ดเล็กๆ สีเหลืองหรือขาวคล้ายเม็ดทรายแทรกฝังอยู่ในเยื่อบุตา ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อบางใสที่หุ้มตาขาวและด้านในของเปลือกตาของเรา เม็ดหินปูนเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกระคายเคืองเล็กน้อยเหมือนกับมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา แม้จะดูน่ากังวล แต่หากได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี ก็สามารถรักษาให้หายได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น
อาการของโรคหินปูนในตาอาจแสดงออกแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยความรุนแรงและลักษณะของอาการมักขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของหินปูนที่เกิดขึ้นในดวงตา อาการที่พบได้บ่อยคืออาการระคายเคืองตา ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนมีเศษฝุ่นหรือลูกทรายอยู่ในตา นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการตาแดงที่อาจเกิดจากการอักเสบที่เกิดขึ้นรอบๆ จุดสะสมของหินปูน หากหินปูนเกิดขึ้นบริเวณกระจกตากลาง อาจส่งผลให้เกิดอาการตามัวได้โดยตรง ส่วนอาการอื่นๆ ที่อาจพบได้แก่ แสบตา น้ำตาไหลมากผิดปกติ และความไวต่อแสง (Photophobia) ซึ่งทำให้รู้สึกเจ็บตาเมื่อต้องเผชิญกับแสงจ้า
มาดูว่าสาเหตุของโรคหินปูนในตาเกิดจากอะไรได้บ้าง!
เมื่อร่างกายมีอายุมากขึ้น องค์ประกอบต่างๆ ของดวงตาจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามกระบวนการเสื่อมถอยตามวัย ซึ่งหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่พบได้บ่อยคือการสะสมของแคลเซียมที่บริเวณกระจกตาและเยื่อตาขาว การสะสมนี้เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เมื่อมีปริมาณมากขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและสุขภาพตาโดยรวม ผู้สูงอายุจึงควรได้รับการตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้และรับการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ภาวะตาอักเสบเรื้อรัง เช่น เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง (Chronic Conjunctivitis) หรือกระจกตาอักเสบ (Keratitis)เป็นสาเหตุที่อาจนำไปสู่การตกตะกอนของแคลเซียมและโปรตีนภายในดวงตา การอักเสบที่ดำเนินอยู่เป็นเวลานานจะกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในของเหลวภายในตา ส่งผลให้สารต่างๆ เช่น แคลเซียมและโปรตีน เริ่มจับตัวกันและตกตะกอน กระบวนการนี้อาจส่งผลเสียต่อโครงสร้างตาและการทำงานของตาในระยะยาว ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหาทางสายตาที่รุนแรงมากขึ้นได้
การขาดน้ำตาหรือภาวะตาแห้งขั้นรุนแรงไม่ใช่เพียงความไม่สบายธรรมดา แต่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เมื่อดวงตาไม่ได้รับการหล่อลื่นอย่างเพียงพอ สารตกค้างต่างๆ จะเริ่มสะสมบนพื้นผิวดวงตาอย่างช้าๆ เมื่อเวลาผ่านไป สารเหล่านี้อาจแข็งตัวกลายเป็นหินปูนในตา สร้างความเจ็บปวดและบั่นทอนการมองเห็น ดังนั้น การดูแลความชุ่มชื้นของดวงตาจึงสำคัญ เพื่อการป้องกันปัญหาสุขภาพตาที่อาจลุกลามได้ในอนาคต
สาเหตุของโรคหินปูนในตามักมีความเชื่อมโยงกับภาวะทางตาอื่นๆ โดยเฉพาะโรคต้อหิน (Glaucoma)ซึ่งความดันในลูกตาที่สูงขึ้นสามารถนำไปสู่การสะสมของแคลเซียมบนผิวตาได้ นอกจากนี้ภาวะกระจกตาเสื่อม (Corneal Dystrophy)ก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญ เนื่องจากเซลล์กระจกตาที่เสื่อมสภาพจะก่อให้เกิดการตกตะกอนของแร่ธาตุต่างๆ ได้อีกด้วย การบาดเจ็บที่กระจกตา ไม่ว่าจะเป็นจากอุบัติเหตุหรือการสัมผัสสารเคมี ก็สามารถกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมที่ผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้เกิดหินปูนสะสมและอาจทำให้การมองเห็นพร่ามัวในที่สุด
หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา โรคหินปูนในตาอาจนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงได้หลายประการ หนึ่งในนั้นคือการมองเห็นที่ลดลง หรืออาจถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นบางส่วนได้ นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระจกตาเป็นแผล ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อในดวงตาที่รุนแรงได้อีกด้วย อาการระคายเคืองเรื้อรังก็เป็นอีกปัญหาที่ตามมา ทำให้ผู้ป่วยต้องขยี้ตาบ่อยๆ ซึ่งพฤติกรรมนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงเกิดบาดแผลที่กระจกตาได้
การตรวจวินิจฉัยโรคหินปูนในตาโดยทั่วไปมีขั้นตอนดังนี้
ปัจจุบันมีวิธีการรักษาหินปูนในตาที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ จักษุแพทย์จะเลือกใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วย
สำหรับผู้ที่มีหินปูนในตาขนาดเล็ก หรือมีอาการระคายเคืองเพียงเล็กน้อย จักษุแพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการ โดยยาหยอดตาเหล่านี้มักมีคุณสมบัติลดการอักเสบของดวงตา และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตาที่อาจแห้งหรือระคายเคืองได้ การใช้ยาหยอดตาจึงเป็นแนวทางการรักษาเบื้องต้นที่ช่วยบรรเทาอาการไม่สบายตาที่เกิดจากหินปูนขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี
เมื่อหินปูนในเยื่อบุตาทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือมีแผลถลอกที่กระจกตา จักษุแพทย์จะหยอดยาชาเพื่อลดความเจ็บปวดก่อน จากนั้นใช้เข็มเล็กๆ ทางการแพทย์ หรือในบางกรณีอาจใช้ไม้พันสำลีที่ผ่านการฆ่าเชื้อ เพื่อสะกิดหรือลอกหินปูนออกอย่างระมัดระวัง
หินปูนมักจะพร้อมหลุดออกง่ายเมื่อถูกสะกิด เนื่องจากอยู่บนผิวเยื่อบุตา หลังการรักษาอาจแนะนำให้ใช้ยาหยอดน้ำตาเทียมหรือเจลเพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองและช่วยให้เยื่อบุตาฟื้นตัวเร็วขึ้น การรักษานี้ทำโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อน
แม้ว่าหินปูนที่ตาจะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยวิธีป้องกันเหล่านี้
โรคหินปูนที่ตาจะมีหินปูนสะสมอยู่บริเวณเยื่อบุตาด้านใน ทำให้เกิดอาการเคืองตาเป็นๆ หายๆ เมื่อหินปูนเริ่มสัมผัสกับกระจกตา อาจทำให้ระคายเคืองมากขึ้น แต่โดยทั่วไปอาการจะไม่รุนแรงและไม่เป็นอันตรายต่อดวงตาอย่างถาวร การรักษาโรคหินปูนที่ตาจึงสามารถทำได้โดยทางจักษุแพทย์จะเขี่ยหินปูนออกจากเยื่อบุตาโดยใช้เครื่องมือขนาดเล็กเพื่อบรรเทาอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
ยาหยอดตาเป็นตัวช่วยสำคัญในการบรรเทาอาการระคายเคืองที่เกิดจากหินปูนในตาได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือยาหยอดตาไม่ได้มีคุณสมบัติในการละลายหรือกำจัดหินปูนที่สะสมอยู่ในดวงตาได้โดยตรง หน้าที่หลักของยาหยอดตาคือการให้ความชุ่มชื้น ลดอาการอักเสบ และบรรเทาความรู้สึกไม่สบายตาที่เกิดขึ้น
หากมีอาการของโรคหินปูนในตา เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการนี้ได้ที่ศูนย์รักษากระจกตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการ มีจุดเด่นดังนี้
โรคหินปูนในตามีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ สีเหลืองหรือขาวคล้ายเม็ดทรายฝังอยู่ในเยื่อบุตา ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อบางใสที่หุ้มตาขาวและด้านในของเปลือกตา ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกระคายเคืองเล็กน้อยคล้ายมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รู้สึกเหมือนมีเศษฝุ่นหรือลูกทรายอยู่ในตา นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการตาแดง ตาพร่ามัว แสบตา น้ำตาไหลมากผิดปกติ และความไวต่อแสง ทำให้รู้สึกเจ็บตาเมื่อต้องเผชิญกับแสงจ้า
สำหรับวิธีการรักษาหินปูนที่ตา สามารถทำได้โดยการใช้ยาหยอดตาลดอาการอักเสบ การขูดหินปูนออกจากกระจกตา การผ่าตัดเล็กด้วยเลเซอร์ และในบางกรณีอาจต้องทำการปลูกถ่ายกระจกตา
Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย