မျက်လုံး ကျန်းမာရေး : #ต้อกระจก

Sort

What Is Thin Cornea? Causes, Symptoms, and Eye Care Tips

A thin cornea refers to a condition where the cornea—the clear, dome-shaped front layer of the eye—has a thickness lower than normal, which can affect vision and overall eye health. This condition may result from various causes such as natural aging, frequent eye rubbing, genetic disorders, or side effects from eye surgeries like LASIK. Common symptoms include blurry vision, frequent changes in prescription, distorted images, and unusually high astigmatism.   Understanding the Cornea The cornea is the transparent, curved layer covering the front part of the eye. It helps focus light into the eye for clear vision and serves as a protective barrier against dust and germs. Normally, corneal thickness ranges between 520–550 microns, but it may thin with age.   What Is a Thin Cornea? A thin cornea is typically defined as a corneal thickness of less than 500 microns (0.5 mm). It is not necessarily a disease and often requires no treatment. However, thin corneas can affect certain diagnoses—such as glaucoma—since intraocular pressure readings may appear lower than actual values. Corneal thickness also plays an important role in refractive surgery decisions. For example, patients with thin corneas and high refractive errors (nearsightedness or astigmatism) may not be ideal candidates for LASIK, as the remaining corneal tissue after surgery might be too thin. This could increase the risk of complications like keratoconus or corneal ectasia. In such cases, ophthalmologists may recommend alternative procedures such as PRK, ICL, FemtoLASIK, ReLEx SMILE Pro, or NanoLASIK, which preserve more corneal tissue. Therefore, detailed corneal thickness assessment is essential before undergoing LASIK to ensure safe and effective outcomes.   Does Wearing Contact Lenses Cause Thinning of the Cornea? Generally, wearing contact lenses correctly does not thin the cornea. However, prolonged use without proper cleaning or rest may lead to oxygen deprivation or corneal infections, which can gradually weaken or thin corneal tissue.   Causes of Thin Cornea There are several factors that can lead to corneal thinning: 1. Genetic Conditions Keratoconus: The most common cause, where the cornea gradually thins and bulges outward into a cone shape, leading to irregular astigmatism and blurred vision. It usually appears during the teenage years to early adulthood. Corneal Dystrophies: Such as Pellucid Marginal Degeneration (PMD), where thinning occurs in the lower peripheral cornea. 2. Eye Surgery or Injury Procedures like LASIK or PRK can thin the cornea, especially if excessive corneal tissue is removed. Repeated eye injuries or untreated infections (e.g., corneal ulcers, keratitis) can also cause thinning due to tissue damage. 3. Systemic Diseases and Medication Autoimmune diseases such as Rheumatoid Arthritis or SLE can cause chronic inflammation, leading to corneal thinning.Long-term use of steroid eye drops may also weaken corneal tissue over time.   Symptoms of Thin Cornea Corneal thinning often progresses slowly and may not show early signs. Key symptoms include: Blurry or distorted vision Frequent changes in prescription High or irregular astigmatism Difficulty focusing or double vision   Diagnosis Thin cornea is often detected during pre-LASIK evaluations.Eye doctors use devices like: Keratometer: Measures corneal curvature and astigmatism. Corneal Topography: Creates a detailed map of corneal thickness and shape. Tomographic Biomechanical Index (TBI): Evaluates corneal strength and risk of ectasia. While early symptoms can hint at the condition, only a comprehensive eye exam by an ophthalmologist can confirm it.   Summary Thin cornea is a silent condition that can significantly impact vision if left untreated. Early detection—especially before refractive surgery—is crucial.At Bangkok Eye Hospital, advanced diagnostic tools and experienced specialists ensure accurate corneal thickness evaluation and personalized treatment planning to maintain long-term eye health.     FAQ: Frequently Asked Questions About Thin Cornea 1. Can corneal thickness be increased?No, corneal thickness cannot naturally increase as it is determined by the cornea’s internal structure. 2. What happens if thin cornea is left untreated?It may lead to worsening blurred vision, irregular astigmatism, or even corneal ectasia. In severe cases, acute hydrops or corneal perforation may occur, leading to permanent vision loss if untreated. 3. Can thin cornea be prevented?Yes — by avoiding vigorous eye rubbing, maintaining good eye hygiene, limiting contact lens wear time, and having regular eye checkups, especially if there is a family history of corneal diseases.
Read More

เลนส์แก้วตาเทียมคืออะไร? ตัวช่วยในการมองเห็นแทนเลนส์ตาธรรมชาติ

เลนส์แก้วตาเทียมคือเลนส์สังเคราะห์ที่ใช้แทนเลนส์ตาธรรมชาติ หลังการผ่าตัดต้อกระจกหรือแก้ปัญหาสายตาที่ผิดปกติ เพื่อช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น เลนส์แก้วตาเทียมมีกี่แบบ? มีหลายแบบ เช่น เลนส์ชนิดมองระยะเดียว (Monofocal) เลนส์มองได้หลายระยะ (Multifocal) และเลนส์แก้สายตาเอียง (Toric) หลังผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม การมองเห็นจะค่อยๆ ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน และฟื้นตัวเต็มที่ในประมาณ 1 เดือน อาจพบอาการข้างเคียงเล็กน้อย เช่น ตาพร่ามัว ตาแห้ง หรือจุดรับภาพบวม ซึ่งมักหายได้เองหรือรักษาได้ด้วยยาหยอดตามคำแนะนำของแพทย์ เลนส์แก้วตาเทียม เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ถูกนำมาใช้ทดแทนเลนส์ตาธรรมชาติที่เสื่อมหรือถูกนำออกระหว่างการผ่าตัด โดยเฉพาะในผู้ป่วยต้อกระจก ซึ่งเป็นภาวะที่เลนส์ตาขุ่นมัว ทำให้การมองเห็นลดลงหรือเบลอ การใส่เลนส์เทียมจะช่วยให้กลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง นอกจากนี้ยังสามารถใช้แก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียงได้อีกด้วย ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับเลนส์แก้วตาเทียมให้มากขึ้น พร้อมคำแนะนำเบื้องต้นสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา     เลนส์แก้วตาเทียม (IOLs) คืออะไร? เลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lenses - IOLs) คือเลนส์ชนิดพิเศษที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ฝังเข้าไปแทนที่เลนส์แก้วตาเดิมที่ขุ่นมัวจากภาวะต้อกระจก โดยเลนส์จะทำหน้าที่ในการรวมแสงให้ตกลงบนจอประสาทตาอย่างแม่นยำ ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้ง นอกจากนี้เลนส์ชนิดพิเศษบางประเภทยังสามารถแก้ไขปัญหาสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียงไปพร้อมกันได้ด้วย     เลนส์แก้วตาเทียมมีกี่แบบ อะไรบ้าง? การทำความเข้าใจประเภทของเลนส์แก้วตาเทียมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละประเภทถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการในการมองเห็นและไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน ดังนี้ 1. เลนส์แก้วตาเทียมชนิดมองระยะเดียว (Monofocal) เลนส์แก้วตาเทียมชนิดมองได้ระยะเดียว มีหลักการคือให้การมองเห็นที่คมชัดในระยะใดระยะหนึ่งเท่านั้น โดยส่วนใหญ่มักเลือกให้มองชัดในระยะไกล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการมองไกลเป็นหลัก และไม่กังวลกับการต้องใช้แว่นสายตาสำหรับการมองใกล้หรือระยะกลาง เช่น การอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์ จุดเด่นของเลนส์ชนิดนี้คือเป็นเลนส์มาตรฐานที่มีประสิทธิภาพดีและมีราคาที่ย่อมเยา แต่ข้อจำกัดคือผู้ป่วยอาจยังคงต้องใช้แว่นตาในการทำกิจกรรมที่ต้องการการมองเห็นในระยะอื่นๆ   2. เลนส์แก้วตาเทียมชนิดมองหลายระยะ (Multifocal) เลนส์แก้วตาเทียมชนิดมองเห็นหลายระยะ ออกแบบมาเพื่อให้การมองเห็นคมชัดทั้งระยะใกล้ ระยะกลาง และระยะไกล ลดการพึ่งพาแว่นตาในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์แอ็กทิฟ ต้องการอิสระจากการใส่แว่น จุดเด่นของเลนส์ชนิดนี้คือสามารถมองเห็นได้ชัดในทุกระยะ ช่วยลดความจำเป็นในการใช้แว่นตา แต่ในบางรายอาจรู้สึกถึงแสงฟุ้งหรือแสงรอบดวงไฟ โดยเฉพาะเวลากลางคืน และคุณภาพของภาพอาจน้อยกว่าเลนส์ชนิดมองระยะเดียวเล็กน้อย โดยเลนส์แก้วตาเทียมชนิดนี้ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทตามระยะโฟกัส ได้แก่ เลนส์แก้วตาเทียมประเภทสองระยะ (Bifocal IOL) เช่น ระยะไกลกับระยะใกล้ หรือระยะไกลกับระยะกลาง ไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาตลอดเวลา การเลือกระยะโฟกัสขึ้นอยู่กับการใช้งานสายตาของแต่ละคน เช่น ขับรถ ใช้คอมพิวเตอร์ หรืออ่านหนังสือ เลนส์แก้วตาเทียมประเภทสามระยะ (Trifocal IOL) คือเลนส์ที่ช่วยให้เห็นได้ในทุกระยะ ทั้งใกล้ กลาง ไกล แม้แต่ละระยะอาจไม่คมชัดที่สุด แต่สามารถมองเห็นชัดเพียงพอโดยไม่ต้องพึ่งแว่นตา การแบ่งแสงแต่ละระยะตามการใช้งานของผู้ป่วย ให้ตอบโจทย์การมองเห็นในชีวิตประจำวัน เลนส์แก้วตาเทียมประเภทโฟกัสยืดยาว (Extended depth of focus - EDOF) เป็นเลนส์ที่มีระยะโฟกัสเดียวแต่ขยายช่วงการมองเห็นให้กว้างขึ้น ทำให้มองเห็นได้ชัดทั้งระยะไกลและกลาง โดยไม่ต้องแบ่งแสง จึงลดปัญหาภาพไม่ชัดในช่วงรอยต่อ   3. เลนส์แก้วตาเทียมแก้ไขสายตาเอียง (Toric IOLs) เลนส์แก้วตาเทียมชนิด Toric ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาสายตาเอียงโดยเฉพาะ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีต้อกระจกและมีสายตาเอียงร่วมด้วย อย่างไรก็ตามเลนส์ชนิดนี้ต้องมีการคำนวณและวัดค่าที่แม่นยำสูง และสามารถเลือกให้เป็นเลนส์ชนิดโฟกัสเดียว (Monofocal) หรือหลายระยะ (Multifocal) เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันของผู้ป่วยแต่ละคน   คู่มือการเตรียมตัวก่อนใส่เลนส์แก้วตาเทียม การเตรียมตัวทั้งร่างกายและจิตใจก่อนผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม ช่วยให้ผลลัพธ์ดีและลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน คู่มือนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อให้คุณพร้อมและมั่นใจก่อนเข้ารับการรักษา ดังนี้ พบแพทย์เพื่อตรวจโรคทางตา และโรคที่อาจเพิ่มความเสี่ยงระหว่างหรือหลังการผ่าตัด วัดความโค้งของกระจกตาและความยาวลูกตา เพื่อใช้ในการคำนวณกำลังขยายของเลนส์แก้วตาเทียมให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล พูดคุยและเลือกชนิดของเลนส์แก้วตาเทียม พร้อมนัดวันเวลาสำหรับการผ่าตัด แพทย์จะให้ทดลองนอนหงายนิ่งประมาณ 30 นาที โดยใช้ผ้าคลุมหน้า เพื่อประเมินระดับความเครียดและความสามารถในการอยู่นิ่งขณะผ่าตัด หากไม่สามารถนอนนิ่งได้ อาจพิจารณาใช้ยาสลบ หากใส่คอนแท็กต์เลนส์ ควรถอดก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 3-7 วัน เพื่อให้ค่าสายตาแม่นยำที่สุดในการตรวจวัดก่อนผ่าตัด สวมเสื้อที่มีคอกว้างหรือเสื้อผ่าหน้า เพื่อความสะดวกในการเปลี่ยนชุด สระผมและล้างหน้ามาจากบ้าน หลีกเลี่ยงการทาครีม แป้ง หรือแต่งหน้าก่อนผ่าตัด หากไม่ใช้ยาสลบ หรือมียาที่แพทย์สั่งให้หยุดใช้ก่อนผ่าตัด สามารถทานอาหารและยาประจำตามปกติ ควรมีผู้ดูแลมารับและส่ง พร้อมช่วยดูแลหลังผ่าตัด เตรียมแว่นกันแดดมาใส่หลังการผ่าตัดเพื่อปกป้องดวงตา งดทาเล็บ และถอดเครื่องประดับ ฟันปลอม หรือของมีค่าออกก่อนเข้ารับการผ่าตัด   ขั้นตอนการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม แพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่แบบหยอดหรือฉีดที่ดวงตา เพื่อไม่ให้รู้สึกเจ็บขณะผ่าตัด และอาจใช้ยาสลบร่วมในกรณีที่จำเป็น เมื่อยาชาออกฤทธิ์ แพทย์จะผ่าเปิดแผลขนาดประมาณ 3 มิลลิเมตร ที่บริเวณรอยต่อระหว่างกระจกตาส่วนดำและตาขาว สอดเครื่องมือขนาดเล็กเข้าไปที่แผล เครื่องมือจะปล่อยคลื่นอัลตราซาวนด์เพื่อสลายต้อในกรณีต้อแข็ง ใช้เครื่องมือดูดเอาเลนส์ตาธรรมชาติออกจากถุงหุ้มเลนส์ โดยยังคงเก็บถุงหุ้มเลนส์ไว้ แพทย์พับเลนส์แก้วตาเทียมใส่ในเครื่องมือขนาดเล็ก แล้วสอดเข้าไปทางแผลเดิม เลนส์จะกางออกภายในถุงหุ้มเลนส์ อาจใช้เครื่องมือขนาดเล็กช่วยปรับเลนส์ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องเย็บแผลหลังผ่าตัด เนื่องจากแผลมีขนาดเล็กมากและปิดได้เองตามธรรมชาติ   การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ช่วยให้ฟื้นตัวเร็วและลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน ในส่วนนี้จะมาแนะนำวิธีปฏิบัติง่ายๆ ที่ควรทำตามหลังผ่าตัด แพทย์จะจ่ายยาทานและยาหยอดตามคำสั่ง ควรใช้ยาอย่างเคร่งครัด หลังผ่าตัดวันแรก หลีกเลี่ยงการใช้สายตาหนัก พักผ่อนมากๆ และนอนหมอนสูง ห้ามนอนตะแคง ด้านที่เพิ่งผ่าตัด ทำความสะอาดรอบดวงตาทุกวันด้วยน้ำเกลือและสำลีปลอดเชื้อ ห้ามขยี้ตา หรือสัมผัสดวงตาโดยไม่จำเป็น ระวังไม่ให้น้ำหรือฝุ่นละออง เข้าตาเด็ดขาด ใส่แว่นกันแดดในตอนกลางวัน และใส่ที่ครอบตา ในตอนกลางคืนเป็นเวลา 1 เดือน หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำในเดือนแรก ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้า และควรสระผมที่ร้านหรือให้ผู้ดูแลสระ ระวังไม่ให้ไอ จาม หรือเบ่งแรงๆ งดออกกำลังกายหรือออกแรงมากๆ รวมถึงงดก้มหัวต่ำกว่าเอวใน 1 เดือนแรก ใช้สายตาตามปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่หากมีอาการปวดตา ปวดหัว หรือแสบตา ควรพักสายตา หากมีอาการบวม แดง ขี้ตามาก ปวดตา มองเห็นไม่ชัด ภาพเบี้ยว หรือภาพซ้อน ควรรีบแจ้งแพทย์ทันที   การฟื้นตัวและผลข้างเคียงหลังผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม วันแรกหลังผ่าตัด อาจมีอาการตาพร่ามัวเล็กน้อยหรือรู้สึกไม่สบายตา แพทย์จะให้ยาหยอดตาและที่ครอบตาเพื่อป้องกันในสัปดาห์แรกการมองเห็นจะเริ่มดีขึ้นอย่างชัดเจน ควรงดออกกำลังกายหนัก ยกของหนัก และหลีกเลี่ยงการให้น้ำเข้าตาหลังครบ 1 เดือน การมองเห็นจะคงที่และคมชัดเต็มที่ ดวงตาจะฟื้นตัวสมบูรณ์ อาการข้างเคียงที่พบบ่อยคือจุดรับภาพบวม มักเกิดหลังผ่าตัด 1-2 สัปดาห์ ร่วมกับการอักเสบที่ดวงตา ผู้ป่วยอาจเห็นภาพมัวหรือเบี้ยว หากมีอาการดังกล่าวควรแจ้งแพทย์ อาการนี้ไม่รุนแรงและมักหายได้เองภายใน 6 เดือน หลังผ่านไปหลายปี อาจเกิดภาวะถุงหุ้มเลนส์ขุ่น ทำให้ภาพขุ่นมัวและเบลอ แพทย์จะรักษาด้วยการยิงเลเซอร์และหยอดยา ซึ่งช่วยให้มองเห็นกลับปกติภายใน 1-2 วัน นอกจากนี้อาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น การติดเชื้อ เลนส์เคลื่อน ความดันลูกตาสูง หรือจอประสาทตาเสื่อม แต่พบได้ไม่บ่อย   บริการเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม ราคากี่บาท? การผ่าตัดต้อกระจกร่วมกับการใส่เลนส์แก้วตาเทียมมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 59,000 บาท ขึ้นไป ซึ่งทีมจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการที่โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ (Bangkok Eye Hospital) พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยเลือกชนิดของเลนส์แก้วตาเทียมที่เหมาะสมกับสายตาและไลฟ์สไตล์ เพื่อผลลัพธ์การมองเห็นที่ดีที่สุดและปลอดภัยในระยะยาว สำหรับคำถามว่าเลนส์แก้วตาเทียม เบิกได้ไหม? โดยทั่วไปแล้ว การผ่าตัดต้อกระจกส่วนใหญ่มักจะครอบคลุมในสิทธิประกันสุขภาพ แต่สำหรับเลนส์แก้วตาเทียมชนิดพิเศษ เช่น Multifocal หรือ Toric อาจมีค่าใช้จ่ายส่วนต่าง ซึ่งการเบิกได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละกรมธรรม์ กรุณาตรวจสอบรายละเอียดกับบริษัทประกันของคุณโดยตรงเพื่อความชัดเจน   สรุป เลนส์แก้วตาเทียมคือเลนส์ที่ใช้ทดแทนเลนส์ธรรมชาติที่เสื่อมสภาพจากภาวะต้อกระจกหรือปัญหาสายตาต่างๆ โดยช่วยให้การมองเห็นกลับมาชัดเจนอีกครั้ง ปัจจุบันมีหลายประเภทให้เลือก เช่น เลนส์แก้วตาเทียมชนิดมองระยะเดียว ชนิดมองหลายระยะ และชนิดแก้สายตาเอียง ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีแตกต่างกัน การเตรียมตัวก่อนและดูแลตัวเองหลังผ่าตัดอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ฟื้นตัวเร็วและลดภาวะแทรกซ้อน หากคุณกำลังมองหาบริการเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมโดยแพทย์เฉพาะทาง โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ (Bangkok Eye Hospital) พร้อมให้บริการด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและทีมจักษุแพทย์มากประสบการณ์ เพื่อให้คุณกลับมามองเห็นได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลนส์แก้วตาเทียม (FAQ) หลายคนอาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับขั้นตอนการผ่าตัด ประเภทของเลนส์แก้วตาเทียม ไปจนถึงการดูแลหลังผ่าตัด ในส่วนนี้เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย พร้อมคำตอบแบบเข้าใจง่าย เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น   เลนส์แก้วตาเทียมมีอายุการใช้งานกี่ปี เลนส์แก้วตาเทียมมีอายุการใช้งานถาวร ไม่เสื่อมสภาพตามเวลา และไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ตลอดชีวิต   หลังผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาเทียม ดูทีวีได้ไหม หลังผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาเทียม สามารถดูทีวีได้ แต่ควรดูในระยะเวลาสั้นๆ และพักสายตาเป็นระยะเพื่อไม่ให้ดวงตาเหนื่อยล้าเกินไป   เป็นต้อกระจกและสายตาเอียง ใส่เลนส์แก้วตาเทียมได้ไหม สามารถใส่ได้ โดยแพทย์จะแนะนำให้ใช้เลนส์แก้วตาเทียมชนิด Toric ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขทั้งต้อกระจกและสายตาเอียงได้พร้อมกัน ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาสำหรับแก้ไขสายตาเอียงอีกต่อไป

Cataract in the Elderly

What is Cataract in the Elderly? Cataracts are a common age-related eye condition that cause clouding of the eye’s natural lens, leading to blurred vision, glare sensitivity, and vision impairment. At Bangkok Eye Hospital, we provide advanced cataract diagnosis and treatment options to restore clear vision and enhance quality of life for elderly patients. Causes and Risk Factors of Cataracts Aging – The most common cause due to natural protein breakdown in the lens Genetics – Family history may increase the likelihood of cataracts Diabetes – Higher blood sugar levels accelerate cataract development Prolonged UV Exposure – Sunlight can contribute to lens damage Smoking and Alcohol Consumption – Increase the risk of cataracts Certain Medications – Long-term steroid use can lead to cataract formation Symptoms of Cataracts in the Elderly Blurred or cloudy vision Increased sensitivity to light and glare Difficulty seeing at night Faded colors or yellowish vision Frequent prescription changes in glasses or contact lenses Double vision in one eye Diagnosis and Treatment Options How Cataracts Are Diagnosed Comprehensive Eye Examination – Includes vision tests and slit-lamp evaluation Dilated Eye Exam – Provides a clearer view of the lens condition Tonometry Test – Measures eye pressure to rule out other conditions Treatment for Cataracts When is Surgery Needed? If cataracts interfere with daily activities such as reading or driving If vision impairment reduces quality of life significantly Cataract Surgery at Bangkok Eye Hospital Phacoemulsification (Phaco) – A minimally invasive procedure using ultrasound technology Laser-Assisted Cataract Surgery – Enhanced precision and recovery Intraocular Lens (IOL) Implantation – Restores clear vision with advanced lens options Recovery and Aftercare What to Expect After Cataract Surgery Improved vision within a few days Temporary mild discomfort or itching Avoid heavy lifting and strenuous activities for a few weeks Follow-up visits to monitor healing progress Why Choose Bangkok Eye Hospital for Cataract Treatment? Experienced Ophthalmologists – Specialists in cataract and eye surgery State-of-the-Art Technology – Cutting-edge laser-assisted surgical techniques Customized Lens Options – Tailored solutions for individual vision needs Comprehensive Post-Surgery Care – Dedicated patient support for optimal recovery Schedule a Cataract Consultation Today Take the first step toward clearer vision! Schedule a consultation with our cataract specialists at Bangkok Eye Hospital today.

Types of Cataract Surgery & Best Places for Treatment

Types of Cataract Surgery & Best Places for Treatment Understanding Cataracts Cataracts are a common eye condition that causes clouding of the eye's natural lens, leading to blurry vision, sensitivity to light, and difficulty seeing at night. This condition typically develops with age but can also result from injury, certain medications, or medical conditions such as diabetes. Risk Factors for Cataracts Several factors can increase the risk of developing cataracts, including: Aging – Most common cause, usually affecting people over 60. Genetics – A family history of cataracts can raise the risk. Diabetes – High blood sugar levels can contribute to cataract formation. Excessive Sun Exposure – UV radiation may accelerate lens clouding. Smoking and Alcohol Use – These habits increase oxidative stress, damaging the eye. Eye Injuries and Surgeries – Trauma or past eye procedures can lead to cataracts. Symptoms of Cataracts Symptoms may vary depending on the severity of the cataract, but common signs include: Blurry or cloudy vision Increased sensitivity to light and glare Difficulty seeing at night Faded or yellowed colors Frequent changes in eyeglass prescription Double vision in one eye Types of Cataract Surgery Cataract surgery is the only effective treatment for restoring clear vision. There are two primary surgical techniques: 1. Phacoemulsification (Phaco) Phacoemulsification is the most common and advanced cataract surgery method. It involves: Making a small incision in the cornea. Using ultrasound waves to break up the cloudy lens. Removing the lens fragments through suction. Implanting an artificial intraocular lens (IOL). Advantages: Minimally invasive with a quick recovery time. Requires only a small incision. Typically performed under local anesthesia. 2. Extracapsular Cataract Extraction (ECCE) ECCE is an older technique used for more advanced cataracts. This method includes: Making a larger incision to remove the entire lens in one piece. Implanting an IOL to restore vision. Advantages: Effective for severe cataracts. Suitable for patients with certain eye conditions that prevent the use of phacoemulsification. 3. Laser-Assisted Cataract Surgery This modern approach uses femtosecond laser technology to: Create precise corneal incisions. Soften and break up the cataract for easier removal. Enhance accuracy in IOL placement. Advantages: Greater precision and safety. Faster healing and reduced complications. Best Places for Cataract Surgery Treatment Choosing the right hospital or clinic for cataract surgery is crucial for ensuring successful outcomes. Below are factors to consider when selecting a treatment facility: 1. Specialized Eye Hospitals and Clinics Hospitals with dedicated ophthalmology departments often provide the best care. Look for institutions with: Experienced ophthalmologists specializing in cataract surgery. Advanced diagnostic and surgical technology. A strong track record of successful procedures. 2. Reputable Private Hospitals Many private hospitals offer premium cataract surgery services, including: Customized treatment plans. State-of-the-art surgical techniques. Shorter wait times and personalized patient care. 3. University and Teaching Hospitals These institutions often have some of the best ophthalmologists and the latest research-driven treatments. Patients may also have access to clinical trials and emerging surgical techniques. 4. Government and Public Hospitals For patients looking for cost-effective options, government hospitals provide quality cataract treatment at subsidized rates. Many accept insurance and government healthcare programs. Diagnosis and Consultation Process Step 1: Comprehensive Eye Examination Patients undergo a detailed eye assessment, including: Visual acuity tests. Slit-lamp examination to inspect the lens and retina. Tonometry to check intraocular pressure. Step 2: Treatment Recommendation Based on the severity of the cataract, the ophthalmologist will recommend the most suitable surgical approach. Step 3: Choosing an Intraocular Lens (IOL) Patients can choose from various IOL options, including: Monofocal Lenses – Provide clear vision at a single distance. Multifocal Lenses – Allow for near, intermediate, and distance vision. Toric Lenses – Correct astigmatism for sharper vision. Cost and Insurance Coverage The cost of cataract surgery varies depending on: The type of procedure (Phaco, ECCE, or Laser-assisted). Choice of hospital or clinic. Type of IOL implanted. Insurance and healthcare coverage. Many hospitals offer flexible payment options and insurance assistance to help patients manage treatment costs effectively. Why Choose a Leading Eye Hospital? Selecting a reputable hospital ensures: Expert ophthalmologists with extensive experience. Cutting-edge technology for precise surgery. Comprehensive post-operative care and follow-up. Book an Appointment Scheduling a consultation is easy. Patients can: Call the hospital’s ophthalmology department. Book an appointment through an online portal. Visit the hospital’s reception for walk-in consultations. Conclusion   Cataract surgery is a safe and effective way to restore clear vision and improve quality of life. By understanding the different types of cataract surgery and selecting a trusted medical institution, patients can achieve the best possible outcomes for their eye health.

การปฏิบัติตัวและวิธีดูแลหลังผ่าตัดต้อกระจก เพื่อการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

Retina Center

5 สุดยอดอาหารบำรุงจอประสาทตา

5 สุดยอดอาหารบำรุงจอประสาทตา :  เสริมแกร่งสายตาคู่ใจ เพื่อการมองเห็นที่คมชัด จอประสาทตา คือ อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่รับภาพและส่งสัญญาณไปยังสมอง ทำให้เรามองเห็นโลกอันสวยงามรอบตัวเรา การดูแลรักษาจอประสาทตาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากเกิดความเสียหายขึ้น อาจส่งผลต่อการมองเห็นอย่างถาวรได้ นอกจากการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยบำรุงและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับจอประสาทตาได้ อาหาร 5 ชนิด ที่ช่วยบำรุงจอประสาทตา และความสำคัญของสารอาหารแต่ละชนิดในอาหาร 1.    ผักใบเขียวเข้ม : ผักใบเขียว เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม และผักบุ้ง อุดมไปด้วยลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องจอประสาทตาจากแสงสีฟ้าและรังสียูวี o    ลูทีนและซีแซนทีน : ทำหน้าที่เป็นเหมือน “แว่นกันแดดภายใน” ช่วยกรองแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ (Age-related Macular Degeneration - AMD) อ้างอิงจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Ophthalmology 2.    ปลาที่มีไขมันสูง : ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาแมคเคอเรล เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการรักษาสุขภาพของจอประสาทตา o    กรดไขมันโอเมก้า-3 : ช่วยลดการอักเสบและป้องกันจอประสาทตาแห้ง นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าโอเมก้า-3 อาจช่วยชะลอการลุกลามของโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ อ้างอิงจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Ophthalmology 3.    ไข่ : ไข่แดงอุดมไปด้วยลูทีน ซีแซนทีน และสังกะสี o    สังกะสี : ช่วยในการขนส่งวิตามินเอไปยังจอประสาทตา ซึ่งวิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการมองเห็นในที่แสงน้อย การขาดสังกะสีอาจนำไปสู่ภาวะตาบอดกลางคืนได้ 4.    ผลไม้ตระกูลเบอร์รี : บลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี และราสเบอร์รี เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ o    สารต้านอนุมูลอิสระ : ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาจากความเสียหาย และยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังดวงตา ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพตาโดยรวม 5.    ถั่วและเมล็ดพืช : อัลมอนด์ วอลนัท และเมล็ดทานตะวัน เป็นแหล่งของวิตามินอี o    วิตามินอี : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา วิตามินอียังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อมตามที่ระบุในวารสารทางการแพทย์หลายฉบับ เมนูอาหารบำรุงสายตาที่คุณสามารถทำเองได้ง่ายๆ สลัดผักโขมกับปลาแซลมอนย่าง : อุดมไปด้วยลูทีน ซีแซนทีน และโอเมก้า-3 ไข่เจียวใส่ผัก : ได้รับทั้งลูทีน ซีแซนทีน และสังกะสี โยเกิร์ตกับผลไม้รวมและถั่ว : รวมสารอาหารบำรุงสายตาหลายชนิดไว้ในเมนูเดียว น้ำปั่นบลูเบอร์รี : ดื่มง่าย ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเต็มๆ ผลงานวิจัยสนับสนุน งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Ophthalmology พบว่า การรับประทานอาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมขั้นสูงได้ งานวิจัยในวารสาร Archives of Ophthalmology ระบุว่า ผู้ที่รับประทานปลาที่มีไขมันสูงเป็นประจำ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมน้อยกว่าผู้ที่ไม่ค่อยรับประทาน  ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ เรามีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านจอประสาทตา พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย คอยให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคทางจอประสาทตาอย่างครบวงจรหากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพตา หรือต้องการเข้ารับการตรวจเช็คสุขภาพตา สามารถติดต่อได้ที่ 02-511-2111 ศูนย์รักษาจอประสาทตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ ได้ทันที เราพร้อมดูแลดวงตาของคุณ เพื่อให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจน สุขภาพตาที่ดี เริ่มต้นจากการใส่ใจ
Cornea Center

ต้อเนื้อและต้อลม แตกต่างกันอย่างไร? |ศูนย์รักษาโรคกระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ

ต้อเนื้อ (Pterygium) ต้อเนื้อคืออะไร: เป็นเนื้อเยื่อที่งอกผิดปกติจากเยื่อบุตาขาว ลักษณะเป็นแผ่นเนื้อรูปสามเหลี่ยม มีสีขาวขุ่นหรือเหลือง มักเกิดขึ้นบริเวณหัวตาและค่อยๆ ลุกลามเข้าสู่ตาดำ สาเหตุ  เกิดจากการระคายเคืองของเยื่อบุตาขาวจากแสงแดด ลม ฝุ่น หรือสารเคมีต่างๆ พบได้บ่อยในผู้ที่ทำงานกลางแจ้งหรือสัมผัสกับสิ่งระคายเคืองเหล่านี้เป็นประจำ อาการ  เริ่มแรกอาจไม่มีอาการ แต่เมื่อต้อเนื้อโตขึ้นอาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง ตาแดง แสบตา น้ำตาไหล หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา หากลุกลามไปถึงกลางตาดำ อาจทำให้การมองเห็นลดลง การรักษา: หยอดตา  หากมีอาการระคายเคือง ตาแห้ง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการ ผ่าตัด  หากต้อเนื้อมีขนาดใหญ่ ทำให้การมองเห็นลดลง หรือมีอาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดลอกต้อเนื้อออก ต้อลม (Pinguecula) ต้อลมคืออะไร: เป็นตุ่มนูนสีเหลืองที่เกิดขึ้นบนเยื่อบุตาขาว มักเกิดขึ้นบริเวณหัวตาใกล้กับต้อเนื้อ มีลักษณะคล้ายตุ่มไขมัน สาเหตุ คล้ายกับต้อเนื้อ คือ เกิดจากการระคายเคืองของเยื่อบุตาขาวจากแสงแดด ลม ฝุ่น หรือสารเคมีต่างๆ อาการ มักไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง อาจมีอาการระคายเคือง ตาแห้ง หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตาบ้างเล็กน้อย การรักษา: หยอดตา หากมีอาการระคายเคือง ตาแห้ง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการ ผ่าตัด: ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดออก ยกเว้นในกรณีที่ต้อลมมีขนาดใหญ่และรบกวนการมองเห็น หรือเปลี่ยนเป็นต้อเนื้อ ข้อแตกต่างระหว่างต้อเนื้อและต้อลม :: ลักษณะ :: ต้อเนื้อมีลักษณะเป็นแผ่นเนื้อรูปสามเหลี่ยมที่ลุกลามเข้าสู่ตาดำ ส่วนต้อลมมีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีเหลืองที่ไม่ลุกลาม :: อาการ :: ต้อเนื้ออาจทำให้การมองเห็นลดลงได้ หากลุกลามไปถึงกลางตาดำ ส่วนต้อลมมักไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง :: การรักษา :: ต้อเนื้ออาจจำเป็นต้องผ่าตัดออก หากมีขนาดใหญ่หรือรบกวนการมองเห็น ส่วนต้อลมมักไม่จำเป็นต้องผ่าตัด :: คำแนะนำ ::หากท่านมีอาการผิดปกติที่ดวงตา ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมนะครับ    บทความโดย นายแพทย์วิวัฒน์ โกมลสุรเดช ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ
calling
ဆက်သွယ်ရန် : +66965426179