มุมสุขภาพตา : #FemtoLASIK

เรียงตาม

ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และพฤติกรรมที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์เลสิก LASER VISION

สายตายาวเกิดจากอะไร? รู้ทันสาเหตุและวิธีแก้ไขง่ายๆ ที่ได้ผลชัวร์

สายตายาวคือการที่กระจกตาหรือเลนส์ตาไม่สามารถโฟกัสแสงที่ให้ตรงจุดที่จอตา ทำให้มองเห็นวัตถุใกล้ไม่ชัด มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกระจกตาหรือเลนส์ตาเมื่ออายุเพิ่มขึ้น หรืออาจเป็นผลจากกรรมพันธุ์ การรักษาสายตายาวสามารถทำได้โดยการใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ที่เหมาะสมเพื่อช่วยโฟกัสแสงให้ถูกต้อง หรือเลือกทำการผ่าตัดเลสิกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใส่แว่นตา รวมถึงการดูแลสุขภาพตาและพักสายตาก็เป็นสิ่งสำคัญ การป้องกันสายตายาวสามารถทำได้โดยการพักสายตาทุก 20 นาที เมื่อใช้สายตานานๆ รักษาระยะห่างจากหน้าจอให้เหมาะสม และตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีสารบำรุงสายตาก็ช่วยป้องกันได้ รู้ไหมว่าสายตายาวเป็นปัญหาที่หลายคนอาจจะไม่ทันสังเกต โดยทั่วไปแล้วสายตายาวเกิดจากการใช้สายตามากเกินไป หรืออาจเกิดจากความผิดปกติในดวงตาที่ทำให้การโฟกัสแสงที่กระทบตาผิดปกติ ส่งผลให้มองเห็นสิ่งใกล้ตัวไม่ชัดเจน  ปัญหานี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เมื่อเกิดแล้วสามารถรักษาและแก้ไขได้ด้วยวิธีที่หลากหลาย ทั้งการปรับพฤติกรรมหรือการรักษาทางการแพทย์ ลองมาทำความเข้าใจสาเหตุ วิธีป้องกัน และวิธีแก้ไขที่ได้ผลชัวร์ไปพร้อมกันในบทความนี้   รู้ทันสาเหตุ สายตายาวเกิดจากอะไร? สายตายาว (Hyperopia) เกิดจากความผิดปกติในการโฟกัสแสงที่กระทบตา ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวไม่ชัดเจน แต่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลได้ชัดเจน สาเหตุหลักของปัญหานี้มาจากการที่แสงที่กระทบตาไม่ได้โฟกัสตรงจุดกระทบของจอตา (Retina) แต่จะไปกระทบที่หลังจอตาแทน ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้ รูปทรงของลูกตา ถ้าลูกตายาวเกินไปหรือมีลักษณะเป็นทรงกลมเกินไป แสงที่ผ่านเข้ามาจะไม่โฟกัสตรงที่จอตาแต่จะกระทบหลังจอตา ทำให้มองเห็นสิ่งใกล้ตัวไม่ชัดเจน ความผิดปกติของกระจกตา (Cornea) หากกระจกตามีความโค้งที่ไม่เหมาะสม เช่น โค้งน้อยเกินไป แสงที่เข้ามาจะไม่ได้โฟกัสที่จอตาอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดปัญหาการมองเห็น ปัญหาของเลนส์ในตา (Lens) ถ้าเลนส์ในตายืดหยุ่นน้อยหรือมีความผิดปกติในการปรับโฟกัส ก็สามารถทำให้แสงไม่สามารถรวมตัวที่จอตาได้ จึงทำให้มองเห็นสิ่งที่ใกล้ตัวไม่ชัด โดยทั่วไปแล้วสาเหตุของสายตายาวอาจเกิดจากกรรมพันธุ์หรืออาจเกิดขึ้นจากการใช้สายตาใกล้มากเกินไปในช่วงเวลานานๆ ซึ่งสามารถทำให้เกิดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อตาได้ ทั้งหมดนี้สามารถรักษาหรือปรับแก้ได้ผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การใส่แว่นตาหรือการทำเลเซอร์ตา เป็นต้น สังเกตอาการสายตาเป็นอย่างไร อาการของสายตายาวหรือที่บางคนเรียกกันว่าตาไกลมักจะมีอาการ ดังนี้ มองใกล้ไม่ชัด หากต้องอ่านหนังสือ หรือมองสิ่งของที่อยู่ใกล้ๆ จะรู้สึกไม่ชัดเจนและอาจเกิดอาการตาล้าหรือปวดตาได้ ต้องเพ่งหรือหลับตา เพื่อให้ภาพที่มองอยู่ชัดขึ้น อาจจะต้องเพ่งหรือหลับตาเล็กน้อย ปวดตาหรือปวดหัว เมื่อพยายามเพ่งมองหรือใช้สายตามากๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดตาหรือปวดหัว มองไกลชัด คนที่มีอาการสายตายาวจะมองสิ่งที่อยู่ไกลได้ชัดเจน แต่จะมีปัญหาเมื่อมองสิ่งที่อยู่ใกล้   หากมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจสายตาและรับการรักษา     แนวทางการรักษาสายตายาว การรักษาและวิธีแก้ไขสายตายาวมีหลายวิธีที่สามารถช่วยให้ผู้ที่มีปัญหานี้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาและความสะดวกของผู้ที่ต้องการรักษา โดยสายตายาวมีวิธีแก้ ดังนี้ การใส่แว่นตา แว่นตาสำหรับสายตายาวเป็นวิธีรักษาสายตายาวด้วยวิธีธรรมชาติ ที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดในการช่วยปรับการโฟกัสแสงให้เข้าสู่จอตาอย่างถูกต้อง แว่นตาจะช่วยปรับแสงที่เข้าสู่ดวงตาให้โฟกัสได้ตรงจุดทำให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ได้ชัดเจนขึ้น การเลือกแว่นตาควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อวัดค่าสายตาและเลือกแว่นที่เหมาะสมกับสภาพดวงตาของเรา การใช้คอนแท็กต์เลนส์ อีกหนึ่งวิธีแก้สายตายาวคือการใส่คอนแท็กต์เลนส์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ชอบใส่แว่นตา โดยจะทำงานคล้ายกับแว่นตาในการปรับการโฟกัสแสงให้เข้าสู่จอตา แต่จะใส่ติดกับตาเลย ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องมีกรอบแว่น การทำเลเซอร์ (LASIK) เลสิก (Lasik) เป็นการผ่าตัดเลเซอร์ที่ใช้ในการปรับรูปร่างของกระจกตาเพื่อปรับการโฟกัสแสงให้เกิดการมุ่งตรงไปที่จอตาแทนการกระทบหลังจอตา ซึ่งจะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น การทำเลสิกเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ แต่ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนการทำการรักษาเพื่อตรวจสอบความเหมาะสม การเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม REL การเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม หรือ Refractive Lens Exchange (RLE) ถือเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาสายตายาวตามอายุ RLE ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป  Femto RLE (การแก้ไขปัญหาสายตายาวแบบไร้ใบมีด) เทคโนโลยีการผ่าตัดที่ใช้เลเซอร์ Femtosecond ในการทำหัตถการ ไม่ต้องใช้ใบมีดในการผ่าตัด ทำให้ปลอดภัยมากขึ้น ให้ความแม่นยำสูงในการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ การรักษาด้วยวิธีการเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม (RLE) เป็นการรักษาภาวะสายตายาวตามอายุที่เน้นการแก้ไขปัญหาบริเวณเลนส์แก้วตา โดยแพทย์จะทำการเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเดิมที่เริ่มเสื่อมสภาพออกไป แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้ามาแทนที่ RLE เป็นวิธีการรักษาสายตายาวตามอายุ (Presbyopia) ที่เกิดขึ้นในผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป แพทย์จะทำการเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเดิมที่เริ่มเสื่อมสภาพออกไป แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้ามาแทนที่ RLE เลนส์แก้วตาเทียมที่ออกแบบมาสำหรับการรักษาสายตายาวตามอายุโดยเฉพาะ RLE แตกต่างจาก LASIK ที่เน้นปรับเปลี่ยนรูปร่างกระจกตา RLE เน้นการเปลี่ยนเลนส์โดยตรง ช่วยแก้ปัญหาการมองเห็นที่ต้องยื่นหนังสือให้ไกลจากตัวเองจึงจะเห็น   การปรับพฤติกรรมการใช้สายตา หากต้องใช้สายตาจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือเป็นเวลานาน ควรพักสายตาทุก 20 นาที โดยการมองไปที่จุดไกลๆ 20 ฟุต ประมาณ 20 วินาที รวมทั้งการใช้แสงสว่างที่เหมาะสมควรใช้งานในที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อไม่ให้ดวงตาต้องทำงานหนักเกินไป และการรักษาท่าทางการนั่งที่ถูกต้อง ให้มีระยะห่างที่เหมาะสมจากหน้าจอคอมพิวเตอร์จะช่วยลดความตึงเครียดของดวงตา การรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัดเล็ก (ในกรณีเฉพาะ) บางกรณีอาจต้องใช้ยาเฉพาะหรือผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาสายตายาว หากมีความผิดปกติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น การตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปีเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจพบปัญหาสายตายาวแต่เนิ่นๆ และป้องกันการเกิดปัญหาที่รุนแรงในอนาคต   การรักษาสายตายาวสามารถช่วยให้ผู้ที่มีปัญหานี้สามารถมองเห็นได้ดีขึ้น แต่การเลือกวิธีรักษาขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานการณ์ของแต่ละคน ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมที่สุด     7 วิธีป้องกันสายตายาว ทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน การป้องกันการเกิดสายตายาวสามารถทำได้โดยการดูแลตาและปรับพฤติกรรมการใช้สายตา ดังนี้ การพักสายตาโดยใช้หลัก 20-20-20 ทุก 20 นาที มองไปที่จุดไกล 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อลดความเครียดที่ดวงตา การรักษาระยะห่างที่เหมาะสมจากหน้าจอประมาณ 20-30 นิ้ว และปรับความสูงให้เหมาะสม การปรับแสงสว่างที่เพียงพอ ไม่ให้แสงสะท้อนตรงตา เพื่อให้ตาทำงานน้อยลง การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอเพื่อพบปัญหาและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานอาหารที่มีวิตามิน A, C, E และสารอาหารบำรุงสายตา เช่น ผักใบเขียว แครอท และผลไม้ การใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ที่แพทย์แนะนำหากมีปัญหาสายตา เพื่อลดความเครียดที่ดวงตา การหลีกเลี่ยงการใช้งานที่ทำให้ตาเครียด หลีกเลี่ยงการใช้สายตานานๆ โดยไม่พัก หากใช้สายตานาน ควรหยุดพักและเปลี่ยนกิจกรรมบ้าง รักษาสายตายาว ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร Bangkok Eye Hospital ให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาสายตายาวด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือทันสมัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ พร้อมทั้งการประเมินสภาพดวงตาอย่างละเอียดและการแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล การตรวจสุขภาพตาและวินิจฉัยสายตายาว โดยใช้เทคโนโลยีล่าสุดในการตรวจสภาพตาและค่าสายตาเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง การปรับการมองเห็นด้วยแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ โดยแนะนำการใช้แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ที่เหมาะสมกับสภาพดวงตา การผ่าตัดเลเซอร์ LASIK สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ เรามีบริการผ่าตัด ทำเลสิกที่ช่วยปรับการโฟกัสแสงให้ตรงจุด การติดตามผลและการรักษาระยะยาว หลังการรักษา เรามีการติดตามผลและให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพตาอย่างต่อเนื่อง สรุป สายตายาวเกิดจากการที่แสงไม่สามารถโฟกัสที่จอตาอย่างถูกต้อง ซึ่งทำให้มองเห็นสิ่งใกล้ไม่ชัดเจน สาเหตุหลักมาจากความผิดปกติในกระจกตาหรือเลนส์ตา เช่น กระจกตาที่โค้งน้อยเกินไป หรือการยืดหยุ่นของเลนส์ที่ลดลงตามอายุ การรักษาสายตายาวสามารถทำได้ด้วยการใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ หรือการทำเลเซอร์ เลสิกเพื่อปรับการโฟกัสแสงให้ถูกต้อง   นอกจากนี้ยังควรพักสายตาและตรวจสุขภาพตาเป็นประจำเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น หากมีภาวะสายตายาว Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาสายตายาวด้วยการใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการตรวจวินิจฉัยและรักษาสายตายาว โดยผู้ชำนาญการ พร้อมการให้คำแนะนำการรักษาที่เหมาะสม โดยมีบริการผ่าตัด LASIK และการปรับการมองเห็นด้วยแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ รวมถึงการติดตามผลหลังการรักษา อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำเลสิกที่ไหนดี? เปรียบเทียบเทคนิคและเกณฑ์การเลือกโรงพยาบาล  เลสิกสายตาเอียง แก้ไขปัญหาภาพเบลอ ภาพไม่ชัด กับข้อควรรู้ก่อนทำ เลสิกสายตาสั้น บอกลาปัญหามองเห็นไม่ชัด พร้อมการเตรียมตัวก่อนทำ FAQ – คำถามที่พบบ่อย เริ่มสายตายาวที่อายุเท่าไร? สายตายาวมักเริ่มเกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากเลนส์ตาเริ่มเสื่อมและยืดหยุ่นน้อยลง ทำให้การโฟกัสสิ่งใกล้ไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของกระบวนการชราภาพตา ค่าสายตายาววัดได้ระดับ ค่าสายตายาวมี 3 ระดับหลัก ได้แก่ ระดับเบา (ต่ำกว่า +2.00 Diopter) ระดับปานกลาง (ระหว่าง +2.00 ถึง +4.00 Diopter) และระดับรุนแรง (สูงกว่า +4.00 Diopter) ซึ่งแต่ละระดับจะมีผลกระทบต่อการมองเห็นที่แตกต่างกัน และจำเป็นต้องเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม สายตายาวเท่าไรควรใส่แว่น ควรใส่แว่นเมื่อมีสายตายาวประมาณ +0.5 Diopter ขึ้นไป หรือเมื่อมีอาการมองใกล้ไม่ชัดหรือปวดตา วิธีสังเกตอาการสายตายาว อาการสายตายาวสามารถสังเกตได้จากการมองเห็นสิ่งใกล้ไม่ชัดเจน หรือรู้สึกเมื่อยตาหรือปวดตาหลังจากการอ่านหรือทำกิจกรรมที่ใช้สายตานานๆ
ศูนย์เลสิก LASER VISION

วิธีทำเลสิกเลือกด้วยตัวเองได้ไหม?

วิธีทำเลสิกเลือกด้วยตัวเองได้ไหม? วิธีทำเลสิกเลือกด้วยตัวเองได้ไหม?      หนึ่งในข้อสงสัยที่สอบถามกันเข้ามาอย่างมากมาย คือ ทำเลสิกแบบไหนดี? ฉันเลือกเองได้ไหม? หรือต้องให้หมอเลือก? ซึ่งในวันนี้ Laser Vision จะขอตอบให้เคลียร์ทุกคำถามเกี่ยวกับการทำเลสิกแต่ละวิธี และวิธีการทำเลสิกแบบไหนเป็นวิธีที่เหมาะสมกับคุณ? Laser Vision มีการให้บริการรักษาสายตาไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตาเอียง หรือสายตายาวทั้งหมด 4 รูปแบบด้วยกัน โดยแต่ละรูปแบบก็จะมีข้อจำกัดและขอบเขตในการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้   PRK      PRK เป็นการรักษาที่เริ่มต้นมายาวนาน การรักษาสายตาด้วยวิธีนี้จะเริ่มจาก การลอกผิวกระจกตาชั้นนอกสุดก่อน จากนั้นจะใช้ Excimer Laser ทำการปรับผิวกระจกตาให้ได้ความโค้งที่พอดีกับค่าสายตา วิธีนี้จะไม่มีการแยกขั้นกระจกตา เหมาะกับการรักษาสายตาผิดปกติสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้น สายตาเอียง หรือสายตายาวที่ไม่มากเกินไป ต้องอาศัยการพักฟื้นที่ยาวนานกว่า อย่างน้อยประมาณ 1 สัปดาห์ และอาจต้องมีการติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง   LASIK      LASIK หรือ Laser In Situ Keratomileusis เป็นการรักษาที่ได้รับการพัฒนาต่อมาจากการรักษาด้วยวิธี PRK และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย โดยวิธีนี้จะมีขั้นตอนการแยกชั้นกระจกตาด้วยใบมีดขนาดเล็ก และเปิดชั้นกระจกตาออก จากนั้นจึงใช้ Excimer Laser ไปปรับความโค้งของผิวกระจกตาชั้นกลางเพื่อให้ได้ค่าความโค้งที่พอดี แล้วปิดกระจกตากลับเข้าตำแหน่งเดิม การรักษาด้วยวิธีเลสิกนี้ทำให้เพิ่มโอกาสในการรักษาสำหรับผู้ที่มีสายตาผิดปกติในระดับสูงได้ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตาเอียง หรือสายตายาว และยังใช้เวลาในการพักฟื้นเพียง 1 วันก็กลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ   NanoLASIK      NanoLASIK เป็นวิธีการรักษาสายตาที่ทันสมัยมากขึ้น และได้รับความนิยมมากที่สุด วิธีนี้จะเป็นการรักษาโดยใช้แสงเลเซอร์ในทุกขั้นตอน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบมีด (Bladeless) โดยขั้นตอนในการแยกชั้นกระจกตาจะใช้เลเซอร์ที่เรียกว่า Femtosecond Laser ที่มีพลังงานน้อยกว่า ในระดับนาโนจูล ในการแยกชั้นกระจกตาแทน แล้วค่อยใช้ Excimer Laser ทำการปรับผิวกระจกตาให้ได้ค่าสายตาตามต้องการ วิธีนี้สามารถเพิ่มโอกาสให้กับผู้ที่มีสายตาผิดปกติในระดับสูงได้มากขึ้น และยังช่วยลดอาการระคายเคืองได้   NanoRelex      NanoRelex ถือเป็นวิธีการรักษาสายตาที่ทันสมัยที่สุด โดยการใช้ Femtosecond Laser ยิงเข้าไปตัดแต่งเนื้อเยื่อในชั้นกระจกตาเพื่อปรับค่าสายตาให้เป็นปกติ จากนั้นนำกระจกตาส่วนเกินออกมาผ่านทางแผลขนาดเล็ก ๆ เพียง 2-3 มม. การรักษาสายตาด้วยวิธี NanoRelex นี้ จะไม่มีการแยกชั้นกระจกตา และแผลมีขนาดเล็กมาก ๆ จึงถือเป็นการรักษาที่มีความอ่อนโยนต่อดวงตามากที่สุด และยังรักษาความแข็งแรงให้กระจกตาได้ แต่วิธี NanoRelex นั้น จะเหมาะกับผู้ที่มีสายตาสั้น หรือสายตาเอียงเท่านั้น ยังไม่สามารถรักษาสายตายาวโดยกำเนิดได้      หลังจากทราบถึงความแตกต่างของการรักษาแต่ละวิธีแล้ว จะเห็นได้ว่า “ดวงตาของคุณ” จะเป็นผู้ให้คำตอบเองว่า คุณสามารถเข้ารับการรักษาสายตาด้วยวิธีใดได้บ้าง      และนอกเหนือจากข้อมูลด้านสภาพดวงตา และวิธีการรักษาสายตาแต่ละแบบแล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทีมแพทย์นำมาพิจารณาแนะนำวิธีการทำเลสิกที่เหมาะสมที่สุด การทำเลสิกแต่ละชนิดก็ยังมีข้อระวังเรื่องการดูแลหลังการรักษาและการพักฟื้นที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะเลือกทำเลสิกวิธีใด จึงควรเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างคนไข้และแพทย์ เพื่อการมองเห็นที่ดีที่สุดของคุณ และขอให้วางใจใน Laser Vision เพราะจักษุแพทย์ของเราเป็นทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตาและการรักษาสายตาผิดปกติโดยเฉพาะที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์การรักษาที่ยาวนาน
ศูนย์เลสิก LASER VISION

คุ้มค่ามากกว่าที่ผ่านมาด้วย NanoRelex

คุ้มค่ามากกว่าที่ผ่านมาด้วย NanoRelex คุ้มค่ามากกว่าที่ผ่านมาด้วย NanoRelex      ถ้าหากจะต้องเลือกวิธีในการรักษาสายตาคู่นี้ให้กับคุณหรือคนที่คุณรักแล้วล่ะก็ หนึ่งในทางเลือกที่น่าตัดสินใจในวิธีการทำ LASIK ก็คงไม่พ้นวิธีการแบบ FemtoLASIK หรือ ReLEx SMILE แต่ก่อนที่คุณจะรีบตัดสินใจลองมาทำความรู้จักกับ NanoRelex เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากสวิซเซอร์แลนด์ ที่ไม่ใช่แค่ดีกว่า แต่มากกว่าด้วยความคุ้มค่าจากปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ (Artificial Intelligence : AI)   ทำความรู้จักกับ NanoRelex      ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักการทำ LASIK ทั่วไปกันก่อน LASIK หรือ Laser In-Situ Keratomileusis เป็นเทคโนโลยีรักษาสายตาโดยใช้แสงเลเซอร์ ที่ใช้รักษาสายตาทั้งสั้น ยาว หรือ เอียง ให้กลับมามองเห็นชัดสดใสเหมือนเดิม การทำ LASIK เป็นเทคโนโลยีที่มีมานานมากแล้ว กว่า 20 ปี แต่ความเข้าใจของคนทั่วไปอาจจะนึกถึงภาพของ LASIK ที่ใช้ใบมีดในการเปิดกระจกตา ก่อนที่จะใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตา จากนั้นก็จะเป็นภาพที่เห็นได้ประจำ ที่มีคนใส่ที่ครอบตาเป็นเวลานานอยู่หลายวัน   ส่วนอีกวิธีการหนึ่งคือ FemtoLASIK      ที่จะเป็นการใช้เลเซอร์แทนใบมีดในการปรับความโค้งของกระจกตา ที่จะมีความแม่นยำสูงกว่า แผลสมานหายเร็ว เพียงแค่ 1 คืนก็สามารถถอดที่ครอบตาออกได้แล้ว ในขณะที่เทคโนโลยีแบบ ReLEx SMILE เป็นการนำเทคโนโลยี FemtoLASIK มาต่อยอดและพัฒนาวิธีการผ่าตัดโดยใช้เครื่อง Femtosecond Laser ทำการแยกชิ้นกระจกตาเป็นเลนส์ 3มิติ ขนาดเล็กเรียกว่า Lenticules และนำชิ้นเลนส์นั้นออกมาผ่านช่องขนาดเล็กเพียง 2-4 มม. โดยไม่มีการใช้ Excimer Laser จึงใช้เวลาในการรักษา ลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นวิธีการล่าสุดในการทำ LASIK ในปัจจุบัน และใช้เวลาในการทำลดลงกว่าครึ่ง ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในการทำ LASIK ในปัจจุบัน      แต่คำว่าใหม่ล่าสุดนั้นคงไม่ใช่อีกต่อไป เพราะตอนนี้ Laser Vision ได้นำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากสวิซเซอร์แลนด์ส่งตรงถึงดวงตาของคนไทย กับ NanoRelex ที่มาพร้อมระบบ AI อัจฉริยะ ใช้พลังงานน้อยที่สุดในการรักษาเพียงระดับนาโนจูลเท่านั้น คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บขณะผ่าตัด พร้อมระบบติดตามการกรอกตาที่ช่วยให้การทำเลสิกมีความแม่นยำกว่าเดิม ลดขั้นตอนในการเปิดและปิดชั้นกระจกตาทำให้เวลาผ่าตัดน้อยลง และหลังผ่าตัดก็ไม่ส่งผลกระทบให้ตาระคายเคือง ที่สำคัญแผลจากการทำเลสิกสามารถหายได้ภายใน 24 ชม. เพียงแค่หลับตาโลกก็กลับมาสดใสเหมือนใหม่ คุ้มค่าและประหยัดเวลามากกว่าที่เคย
ศูนย์เลสิก LASER VISION

NanoLASIK เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของการทำ LASIK ที่จะมาช่วยยกระดับการมองเห็นของคุณ

NanoLASIK เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของการทำ LASIK ที่จะมาช่วยยกระดับการมองเห็นของคุณ NanoLASIK เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของการทำ LASIK ที่จะมาช่วยยกระดับการมองเห็นของคุณ      ถ้าหากคุณเป็นคนมีปัญหาสายตา และตัดสินใจจะแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการทำ LASIK แล้วล่ะก็ สุดยอดเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากสวิตเซอร์แลนด์ NanoLASIK อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่คุณอาจจะต้องนำมาตัดสินใจ ด้วยสุดยอดเทคโนโลยีระดับนาโน ใช้ระยะเวลาฟื้นตัวไว ที่จะทำให้การมองเห็นของคุณกลับมาสดใสอย่างรวดเร็ว เมื่อพูดถึงปัญหาสายตาการใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่มักจะใช้แก้ปัญหาสายตัวทั่วไป อย่างไรก็ตามการใช้แว่นก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาความรำคาญ ไม่ว่าจะเป็นการหลงลืมแว่นตาตามสถานที่ต่างๆ รวมไปถึงการขับรถ ในขณะเดียวกันการใช้คอนแทคเลนส์ก็อาจจะทำให้เผชิญกับปัญหาการระคายเคือง และอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจคือการทำ “เลสิก (LASIK)” ที่ยกระดับสายตาของคุณให้ดีขึ้นถาวร   LASIK คือ      LASIK หรือ Laser In-Situ Keratomileusis เป็นเทคโนโลยีรักษาสายตาโดยใช้แสงเลเซอร์ สามารถรักษาได้ทั้งสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่โดดเด่นทางการแพทย์ ที่มาพร้อมกับความสะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว การทำเลสิคมีหลากหลายรูปแบบ ในความเข้าใจทั่วไป LASIK หมายถึงการทำเลสิคแบบใบมีด Microkeratome LASIK, Blade LASIK, หรือ LASIK) เป็นเทคนิคที่ใช้ใบมีดขนาดเล็กเปิดฝากระจกตาขึ้น ก่อนใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer laser) ปรับแต่งความโค้งของกระจกตาให้ได้ค่าสายตาที่ต้องการ จากนั้นปิดกระจกตากลับเข้าที่เดิม   FemtoLASIK คืออะไร      FemtoLASIK หรือ เฟมโตเลสิก เป็นวิธีการรักษาสายตาด้วยเลเซอร์ระดับเฟมโต (Femtosecond Laser) แทนใบมีดในการเปิดฝากระจกตา ก่อนที่จะใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer laser) ปรับแต่งความโค้งของกระจกตาให้ได้ค่าสายตาที่ต้องการ เป็นการใช้เลเซอร์สำหรับการรักษาตลอดการรักษา และมีความแม่นยำมากกว่าการทำ LASIK แต่ก็ยังต้องมีการพักฟื้นการใช้สายตาเป็นเวลา 2 – 3 วัน   นวัตกรรม NanoLASIK      นวัตกรรมใหม่ล่าสุด NanoLASIK ซึ่งเป็นการต่อยอดพัฒนาจาก FemtoLASIK ซึ่งเป็นการนำเลเซอร์ที่ใช้พลังงานระดับต่ำ  ด้วยความแม่นยำระดับนาโนจากระบบปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ (AI) ป้องกันการเคลื่อนของกระจกตาที่อาจเกิดขึ้นด้วยวิธีทำเลสิคแบบเดิม พร้อมกับโปรแกรมประหยัดเนื้อกระจกตาในการรองรับผู้ที่มีสายตาสั้นมากกว่าปกติ หายห่วงเรื่องสภาวะแทรกซ้อน อ่อนโยนกับดวงตา และที่สำคัญใช้เวลาพักฟื้นเพียงแค่ 1 วัน โลกก็สดใสสามารถกลับไปทำกิจกรรมเดิมๆ ได้เหมือนใหม่ มอบอิสระในการใช้ชีวิตด้วยการทำเลสิกจากทีมแพทย์ที่มากประสบการณ์
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111