มุมสุขภาพตา : #กระจกตาเสื่อม

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม

ทำความเข้าใจอาการกระจกตาเสื่อม สาเหตุ วิธีการดูแลรักษาและป้องกัน

กระจกตาเสื่อมคือภาวะที่กระจกตาเสียหาย ส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติ กระจกตาเสื่อมเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้กระจกตามีการเปลี่ยนแปลงหรือมีการสะสมของเนื้อเยื่อผิดปกติ วิธีรักษากระจกตาเสื่อม ได้แก่ การใช้ยาหยอดตา คอนแท็กต์เลนส์พิเศษ หรือการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา ส่วนการป้องกันคือการตรวจสุขภาพตาอยู่เสมอ การรักษากระจกตาเสื่อมที่ศูนย์รักษาโรคกระจกตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่มีจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล พร้อมด้วยเทคโนโลยีทันสมัยในการตรวจและรักษาโรคกระจกตา   กระจกตาเสื่อมเป็นภาวะที่กระจกตาเกิดการผิดปกติ ส่งผลให้การมองเห็นเปลี่ยนไป การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดกระจกตาเสื่อม รวมถึงการรู้จักวิธีการรักษาและป้องกันที่เหมาะสม จะช่วยให้สามารถตรวจพบภาวะนี้ได้แต่เนิ่นๆ และป้องกันการเสื่อมสภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้     กระจกตาเสื่อม คือโรคอะไร? กระจกตาเสื่อมเกิดจากการสะสมของวัสดุในชั้นหนึ่งหรือหลายชั้นของกระจกตา ซึ่งวัสดุนั้นอาจทำให้กระจกตาสูญเสียความโปร่งใส ทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นหรือมองเห็นไม่ชัดเจน โดยกระจกตาเสื่อมแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ   กระจกตาเสื่อมที่ชั้นหน้าหรือผิวหนังเป็นภาวะที่มีผลกระทบต่อชั้นนอกสุดของกระจกตา (รวมถึงชั้นเยื่อบุผิวและชั้นเยื่อรับรองผิว) กระจกตาเสื่อมจากเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(Stroma) ส่งผลต่อกระจกตาชั้นกลาง ซึ่งเป็นชั้นหนาที่สุดของกระจกตา กระจกตาเสื่อมชนิดหลังมีผลกระทบต่อส่วนในสุดของกระจกตา(ชั้นเยื่อบุผิวชั้นในและชั้นเยื่อรองรับเซลล์ด้านใน) โดยกระจกตาเสื่อมชนิดหลังที่พบบ่อยที่สุดคือโรคฟุคส์ (Fuchs’ dystrophy)     สาเหตุของกระจกตาเสื่อม เกิดจากอะไรบ้าง กระจกตาเสื่อมมีหลายรูปแบบที่เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม และบางรูปแบบยังคงต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจนของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น เชื้อชาติ ซึ่งมักเกิดในผู้ที่มีเชื้อสายขาว อายุ โดยมักเกิดในผู้ที่อายุมากกว่า 30 ปี และเพศหญิง โดยเฉพาะผู้ที่ถูกกำหนดเพศเป็นหญิงตั้งแต่แรกเกิดมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้มากกว่าเพศชาย     สังเกตอาการของกระจกตาเสื่อม อาการของกระจกตาเสื่อมจะค่อยๆ พัฒนาและอาจทำให้การมองเห็นแย่ลงในระยะยาวหากไม่ได้รับการดูแลหรือรักษาที่เหมาะสม โดยสังเกตอาการของกระจกตาเสื่อมได้ คือ ตาแฉะ ตาแห้ง ระคายเคืองที่ตา การมองเห็นเบลอ ตาไวต่อแสง การมองเห็นเป็นภาพซ้อน รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา ปวดตา สายตาสั้น (มองเห็นวัตถุที่ไกลๆ เบลอ) สายตาเอียง (มองเห็นวัตถุเบลอหรือบิดเบี้ยว)     วิธีการรักษากระจกตาเสื่อม แม้ว่ากระจกตาเสื่อมยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่ก็มีการรักษาที่ช่วยชะลอไม่ให้ภาวะนี้เสื่อมลงไปมากกว่าเดิม ซึ่งทำได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้ ยาหยอดตาหรือขี้ผึ้งหยอดตา ยาหยอดตาหรือยาทาเฉพาะที่เป็นตัวเลือกในการรักษาอาการที่เกิดจากกระจกตาเสื่อม โดยช่วยบรรเทาอาการต่างๆ เช่น อาการปวดตา ความรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา และอาการตาแห้ง ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตามากขึ้นและบรรเทาอาการกระจกตาเสื่อมลงได้ ยาปฏิชีวนะ ยาปฏิชีวนะเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อในกรณีที่กระจกตาเสียหายจากภาวะกระจกตาเสื่อม ซึ่งอาจทำให้กระจกตามีความเปราะบางและไวต่อการติดเชื้อจากเชื้อโรคต่างๆ โดยช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ คอนแท็กต์เลนส์ชนิดพิเศษ คอนแท็กต์เลนส์พิเศษถูกออกแบบมาให้ใส่บนกระจกตาเช่นเดียวกับคอนแท็กต์เลนส์ทั่วไป แต่มีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยในการฟื้นฟูกระจกตาเสื่อม โดยเลนส์เหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การทำศัลยกรรมแก้ไขกระจกตาด้วยแสง (Phototherapeutic Keratectomy) Phototherapeutic Keratectomy (PTK) เป็นวิธีการรักษากระจกตาเสื่อมที่ใช้เลเซอร์ที่ปรับความแม่นยำได้สูง เพื่อกำจัดเฉพาะเนื้อเยื่อกระจกตาที่เสียหายออก ทำให้จักษุแพทย์สามารถระบุและกำจัดส่วนที่เสียหายได้อย่างตรงจุด โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อกระจกตาส่วนที่ยังดีอยู่ การปลูกถ่ายกระจกตา ในกรณีที่กระจกตาเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเสียหายรุนแรงจนส่งผลต่อการมองเห็น การปลูกถ่ายกระจกตาอาจเป็นทางเลือกหนึ่ง การผ่าตัดนี้ใช้เนื้อเยื่อกระจกตาจากผู้บริจาคมาแทนที่เนื้อเยื่อกระจกตาของผู้ป่วย ซึ่งปลูกถ่ายได้ทั้งแบบบางส่วนหรือแบบทั้งหมด การดูแลดวงตาเพื่อป้องกันกระจกตาเสื่อม กระจกตาเสื่อมเป็นโรคที่เกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม ทำให้มีโอกาสเกิดกระจกตาเสื่อมในอนาคต แม้ว่าจะไม่สามารถลดความเสี่ยงได้ แต่การตรวจตาอย่างสม่ำเสมอและดูแลรักษาในระยะเริ่มต้นสามารถช่วยชะลออาการและรักษาสุขภาพดวงตาได้ สรุป กระจกตาเสื่อมเป็นภาวะที่กระจกตาของตาเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือเสียหาย ส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติ หรือเกิดอาการเบลอหรือมองไม่ชัดเจน มักเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม รักษาได้ด้วยยาหยอดตา การใช้คอนแท็กต์เลนส์พิเศษ หรือการผ่าตัด เพื่อชะลอหรือบรรเทาอาการ ส่วนการป้องกันควรตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ   หากสงสัยว่าตัวเองอาจจะเป็นกระจกตาเสื่อม มารับการวินิจฉัยและการรักษาที่ศูนย์รักษาโรคกระจกตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)ที่นี่มีจักษุแพทย์พร้อมดูแลดวงตาของคุณโดยใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการตรวจและรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111