ជ្រុងនៃសុខភាពភ្នែក

តម្រៀប

Dry eyes

Dry eyes ទឹកភ្នែកដើរតួនាទីយ៉ាងសំខាន់ក្នុងការរក្សាភ្នែករបស់យើងឱ្យមានសំណើម, ធានាឱ្យឃើញច្បាស់ដោយអនុញ្ញាតឱ្យពន្លឺឆ្លងកាត់កែវភ្នែកប្រកបដោយប្រសិទ្ធភាព និងផ្គត់ផ្គង់អុកស៊ីហ្សែនចិញ្ចឹមភ្នែក។ វាក៏ជួយការពារការឆ្លងមេរោគនិងសារធាតុផ្សេងៗផងដែរ។    នៅពេលដែលភ្នែកស្ងួត, វាជាបញ្ហាទូទៅមួយដែលអាចកើតឡើងពីការផលិតទឹកភ្នែកមិនប្រក្រតីឬទឹកភ្នែកមានការហួតលឿនពេក។ វាអាចធ្វើអោយមានភាពមិនស្រណុក, ក្រហាយ, មានអារម្មណ៍ថាដូចមានអ្វីនៅក្នុងភ្នែករបស់អ្នក, ភ្នែកមានសភាពក្រហម, រោយ, មើលឃើញព្រិលៗដែលទទួលភាពប្រសើរជាមួយការព្រិចភ្នែក, ឬសូម្បីតែមានអារម្មណ៍ថារោយភ្នែក។ ហេតុផលដែលមានភ្នែកស្ងួតអាចមានការប្រែប្រួលនៅពេលកាន់តែចាស់ឬជាស្រ្ដី (យេស៎, យើងងាយនឹងរងនូវភ្នែកស្ងួត) ការអាលាក់ហ្សីជាមួយថ្នាំ, ការចំណាយជាច្រើនពេលទៅលើ Screens, នៅទីកន្លែងដែលមានដី ផ្សែង ឬ មានខ្យល់ខ្លាំងនិងមានពន្លឺច្រើន, រួមបញ្ចូលទាំងអស់។    ប៉ុន្ដែមានដំណឹងល្អនោះគឺជាពិធីនៃការព្យាបាលភ្នែកស្ងួត:   ការចៀសឆ្ងាយពីអ្វីដែលអាចធ្វើអោយវាកាន់តែអាក្រក់ដូចជាខ្យល់ខ្លាំងនិងធូលីដីដោយគ្រាន់តែពាក់វែនតានិងការការពារភ្នែក។ ចងចាំថាត្រូវសំរាកឬព្រិចភ្នែកអោយបានញឹកញាប់ ជាពិសេសនៅពេលអ្នកជាប់ជាមួយ Screen ខណៈណាមួយ។  អ្នកទទួលបាននូវថ្នាំបណ្ដក់ភ្នែកដែលហៅថាទឹកភ្នែកសុប្បនិមិត្ត។ មានពីប្រភេទគឺសម្រាប់ពេលថ្ងៃ (ទឹកច្រើន) និងពេលយប់ (ក្រាស់បន្ដិច) ដែលត្រូវប្រើអាស្រ័យទៅលើស្ថានភាពភ្នែកស្ងួតរបស់អ្នក។  ពេលខ្លះពេទ្យរបស់អ្នកអាចនែនាំថ្នាំបណ្ដក់ភ្នែកពិសេសដែលជំរុញអោយភ្នែករបស់អ្នកបង្កើតទឹកភ្នែកបានច្រើន។  ផ្ដល់ការព្យាបាលភ្នែករបស់អ្នកជាមួយក្រណាត់ស្អាតហើយក្ដៅឧន្ឌៗ រួចស្អំលើភ្នែកដើម្បីជូយអោយមានអារម្មណ៍ល្អប្រសើរ។ ប្រសិនបើភ្នែកស្ងួតកាន់តែខ្លាំងហើយមិនប្រសើរឡើង ការជជែកជាមួយគ្រូពេទ្យភ្នែកគឺជារឿងល្អ។   សរុបមក ភ្នែកស្ងួតអាចជាបញ្ហារំខានមួយ ប៉ុន្តែមានដំណោះស្រាយនៅទីនោះ។ វាជារឿងសំខាន់ក្នុងការថែរក្សាភ្នែករបស់អ្នកឱ្យបានល្អ ជាពិសេសនៅពេលដែលមានសភាពស្ងួតនៅខាងក្រៅ (អាកាសធាតុស្ងួត)។ ប្រសិនបើអ្នកសង្ស័យថាអ្នកមានបញ្ហាភ្នែកស្ងួត ការជជែកជាមួយអ្នកជំនាញផ្នែកថែរក្សាភ្នែកគឺជាទង្វើដ៏ឆ្លាតវៃ។
អាន​បន្ថែម
Cataract Center
Retina Center
Laser Vision LASIK Centre
Glaucoma Center
Cornea Center
Children's Eye Center
Oculoplastic
Neuroophthalmology

เลสิกสำหรับนักแบดมินตัน เพิ่มความคมชัดเพื่อชัยชนะทุกคอร์ต | Bangkok Eye Hospital

  เลสิกสำหรับนักแบดมินตัน: พลิกเกมด้วยสายตาที่คมชัดกว่า 🏸 “พริบตาเดียวบนคอร์ต อาจเปลี่ยนชัยชนะเป็นความพลาด” การเล่นแบดมินตันไม่ได้อาศัยเพียงแค่พละกำลังหรือความเร็ว แต่หัวใจสำคัญคือ การมองเห็นที่แม่นยำและรวดเร็ว เพื่อการ "อ่านเกม อ่านลูก และอ่านทางคู่แข่ง" ได้เหนือกว่าใคร! อุปสรรคทางสายตาที่นักกีฬาต้องเจอ เคยไหมที่ต้องมัวดันแว่นระหว่างการแข่งขัน? หรือกังวลว่าคอนแทคเลนส์จะหลุดกลางเกม? ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้คุณเสียสมาธิและพลาดจังหวะสำคัญในเสี้ยววินาที... ซึ่งอาจหมายถึงการเสียคะแนนหรือพลาดชัยชนะไปอย่างน่าเสียดาย LASIK: คำตอบสำหรับนักกีฬายุคใหม่ การทำเลสิก (LASIK) คือทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับนักกีฬาแบดมินตันและผู้ที่รักการออกกำลังกายทุกคน ช่วยปลดล็อกศักยภาพของคุณให้เหนือกว่าเดิม สายตาคมชัด โฟกัสการเคลื่อนไหวของลูกขนไก่ได้ดีขึ้น คล่องตัวทุกการเคลื่อนไหว ไม่ต้องกังวลเรื่องแว่นหรือคอนแทคเลนส์ มั่นใจในทุกช็อต ทั้งลูกตบ ลูกหยอด หรือลูกตัด เมื่อไร้กังวลเรื่องสายตา คุณจะสามารถโฟกัสที่เกมการแข่งขันได้อย่างเต็มที่ เพราะการมองเห็นที่ดี ไม่ได้แค่ทำให้เล่นดีขึ้น แต่ทำให้คุณ “มั่นใจในทุกการเคลื่อนไหว” ปรึกษาการทำเลสิกสำหรับนักกีฬา ดวงตามีคู่เดียว มั่นใจให้แพทย์เฉพาะทางดูแล ที่ Laser Vision at Bangkok Eye Hospital เลียบทางด่วนรามอินทรา โทรเลย: 02-511-2111 #LASERVISION #SMILEPro #LASIK #BangkokEyeHospital #เลสิกไร้ใบมีด #LASIKForSport #Badminton #กีฬาแบดมินตัน
Cataract Center
Retina Center
Laser Vision LASIK Centre
Glaucoma Center
Cornea Center
Children's Eye Center
Oculoplastic
Neuroophthalmology

ภาพเบลอในสนาม อาจทำให้คุณพลาดโอกาสสำคัญ

"ภาพเบลอในสนาม อาจทำให้คุณพลาดโอกาสสำคัญ" ⚽👀  เพราะในทุกวินาทีของการแข่งขัน... “สายตา” คืออาวุธลับที่คุณอาจมองข้ามจะเล็ง จะส่ง จะยิง ทุกจังหวะต้องแม่นยำ แต่ถ้ามองไม่ชัดตั้งแต่แรก คุณอาจพลาดสิ่งสำคัญที่อยู่ตรงหน้า  ไม่ว่าจะเป็น: ✅ โอกาสในการยิงประตู ✅ การอ่านเกมในเสี้ยววินาที ✅ การเคลื่อนไหวที่มั่นใจและคล่องตัว   การทำเลสิกช่วยให้คุณกลับมามองเห็นชัด ลดการพึ่งพาแว่นหรือคอนแทคเลนส์ พร้อมเปลี่ยนทุกเกมให้คุณ "คุมสนามได้อยู่หมัด"   📍 Laser Vision ปรึกษาการทำเลสิกสอบถามได้ที่ 02-511-2111   #LASERVISION #SMILEPro #LASIK #smarteyehospital #BangkokEyeHospital #QualityEyeCare #BestVisionBestVersion #NoBlade #เลสิกไร้ใบมีด #LASIKForSport #Sport #Football #กีฬาฟุตบอล  
Cataract Center
Retina Center
Laser Vision LASIK Centre
Glaucoma Center
Cornea Center
Children's Eye Center
Oculoplastic
Neuroophthalmology

Laser Vision: ปลดล็อกศักยภาพนักกอล์ฟ ด้วยเลสิก (LASIK) และ SMILE Pro

กอล์ฟ คือ เกมส์ของการโฟกัส เล่นกอล์ฟเก่งแค่ไหน ถ้ามองไม่ชัด… ก็พลาดได้ง่าย ๆ การทำเลสิก ไม่ได้แค่ช่วยให้คุณมองชัดขึ้นแต่ช่วย “ยกระดับเกม” ของคุณไปอีกขั้น ไม่ต้องเล็งผ่านเลนส์ ไม่ต้องพะวงแว่นหลุด เห็นธงชัดตั้งแต่ระยะ 200 หลา เล่นได้มั่นใจ โฟกัสได้เต็มที่ในทุกหลุม อย่าปล่อยให้สายตาเป็นอุปสรรคของวงสวิง 📍 Laser Vision at Bangkok Eye Hospital เลียบทางด่วนรามอินทรา ดวงตามีคู่เดียว มั่นใจให้แพทย์เฉพาะทางดูแล ปรึกษาการทำเลสิกสอบถามได้ที่ 02-511-2111 #LASERVISION #SMILEPro #LASIK #smarteyehospital #BangkokEyeHospital #QualityEyeCare #BestVisionBestVersion #GolfVision #LASIKForGolfers

อาการคันตาเกิดจากอะไรได้บ้าง พร้อมสาเหตุที่พบบ่อยและวิธีป้องกัน

อาการคันตาเป็นหนึ่งในปัญหาที่หลายคนพบเจอในชีวิตประจำวัน และอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ภูมิแพ้ ฝุ่นละออง หรือการใช้หน้าจอนานๆ ซึ่งหากไม่ดูแลหรือบรรเทาอาการอย่างถูกวิธี อาจส่งผลต่อสุขภาพดวงตาในระยะยาว มาดูกันว่ามีสาเหตุใดบ้างที่ทำให้เกิดอาการคันตา และวิธีบรรเทาอาการเหล่านั้นอย่างมีประสิทธิภาพ   คันตาคืออาการที่เกิดจากการระคายเคืองหรือการแพ้ที่ทำให้รู้สึกคันบริเวณดวงตา สาเหตุของอาการคันตามักเกิดจากการแพ้สารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือการติดเชื้อจากแบคทีเรียหรือไวรัส รวมถึงการใช้งานตาเป็นเวลานานหรือแห้งเกินไป การรักษาอาการคันตาอาจทำได้โดยการใช้ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบเย็น หรือหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ หากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ การรักษาอาการคันตาที่ Bangkok Eye Hospital ให้การดูแลโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ พร้อมใช้อุปกรณ์ทันสมัยเพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่แม่นยำ ช่วยบรรเทาอาการได้เร็วและปลอดภัย     อาการคันตาคืออะไร? คันตาคืออาการที่รู้สึกคันบริเวณดวงตา ซึ่งสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ และพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ อาการอาจเป็นเพียงชั่วคราวหรือเกิดขึ้นเรื้อรัง ขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ หากอาการคันตารุนแรงหรือไม่หายไป ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา การรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้อาการคันตาดีขึ้นและหายขาดได้     อาการคันตาเป็นอย่างไร? ลักษณะอาการที่ควรรู้ อาการคันตามักทำให้รู้สึกคันหัวตา เปลือกตาบน หรือภายในดวงตา บางครั้งอาจคันหัวตาข้างเดียวและอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ตาแฉะหรือมีน้ำตาไหล ตาแดงหรือระคายเคือง มีจุดเลือดเกิดขึ้นภายในดวงตา เปลือกตาบวม ปัญหาการมองเห็นหรือเห็นภาพไม่ชัด ลืมตายากหรือไม่สามารถลืมตาได้เต็มที่ ตาแพ้แสงหรือไวต่อแสง เจ็บหรือปวดตา รู้สึกเหมือนมีเศษผงอยู่ในตา     สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคันตา คันหัวตา หรือคันเปลือกตา อาการคันตา คันหัวตา หรือคันเปลือกตาอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของดวงตาหรือสภาพแวดล้อมที่เราเผชิญในชีวิตประจำวัน ดังนี้ ภูมิแพ้ อาการแพ้สามารถทำให้เกิดอาการคันตา คันหัวตา หรือคันเปลือกตาบนได้ เนื่องจากบริเวณนี้บอบบางและไวต่อการแพ้ สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ ฝุ่น มลพิษ สบู่ น้ำยาทำความสะอาด สารเคมี เครื่องสำอางที่ใช้รอบดวงตา เช่น อายแชโดว์ หรืออายไลน์เนอร์ ครีมกันแดด และน้ำยาย้อมสีผมหรือยาทาเล็บ ระคายเคืองหรือแพ้คอนแท็กต์เลนส์ การใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นประจำอาจทำให้เกิดอาการคันตาหรือคันหัวตาได้ หากใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นระยะเวลานานโดยไม่ดูแลรักษาอย่างถูกต้อง การสะสมของเชื้อโรคหรือสารเคมีในคอนแท็กต์เลนส์สามารถกระตุ้นการระคายเคืองที่ดวงตาได้ บางรายอาจแพ้สารในน้ำยาทำความสะอาดคอนแท็กต์เลนส์ ซึ่งก็สามารถทำให้เกิดอาการคันตาได้เช่นกัน อาการตาล้า การใช้สายตานานๆ หรืออยู่ในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศนานๆ อาจทำให้ดวงตาล้าและแห้ง จนเกิดอาการคันตาได้ ภาวะตาล้ามักมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ตามัว ปวดศีรษะ ปวดคอและหลัง ตาแพ้แสง ไม่มีสมาธิ และลืมตาไม่ขึ้น ภาวะตาแห้ง อาการตาแห้งอาจทำให้เกิดอาการคันตา คันหัวตา และแสบร้อน รวมถึงอาการตาแฉะ ตาแดง น้ำตาไหล หรือมีปัญหาสายตาในเวลากลางคืน เช่น ตามัว ตาแพ้แสง และตาอ่อนล้า ปัญหาขนตาทิ่มตา ขนตาที่ขึ้นใหม่มักคดหรือม้วนเข้าด้านในตา ซึ่งทำให้ขนตาสัมผัสกับผิวหนังภายในตา ส่งผลให้เกิดการระคายเคือง จนทำให้รู้สึกคันตา และอาจทำให้เกิดอาการตาแดงหรือบวมตามมาได้เช่นกัน เปลือกตาอักเสบ ภาวะนี้สามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ต่อมไขมันในรูขุมขนที่บริเวณเปลือกตาอุดตัน ซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองจนคันที่เปลือกตาบน การติดเชื้อแบคทีเรีย ผลข้างเคียงจากการใช้ยา หรือความผิดปกติของต่อมไขมัน รวมถึงการมีตัวไรที่ขนตา การอักเสบของเปลือกตาอาจทำให้มีเมือกเหนียวในดวงตาและสะเก็ดแข็งเกาะที่บริเวณเปลือกตาและขนตา ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะรุนแรงขึ้นในเวลากลางคืน เยื่อบุตาอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบสามารถทำให้เกิดอาการคันตาและตาแดง ซึ่งอาจติดต่อไปยังผู้อื่นได้ ดังนั้น หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยด่วน กระจกตาเป็นแผล บาดแผลที่กระจกตาสามารถทำให้เกิดอาการคันตาได้ หากบาดแผลไม่ลึก อาจหายได้เองในระยะเวลาสั้นๆ แต่หากเป็นบาดแผลลึก อาจทำให้มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เจ็บตา ตามัว ตาแดง และตาแพ้แสง หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจส่งผลให้สูญเสียความสามารถในการมองเห็นได้ ติดเชื้อที่กระจกตา ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการใส่คอนแท็กต์เลนส์ โดยเฉพาะคอนแท็กต์เลนส์ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและทำให้ดวงตาบาดเจ็บ ตามมาด้วยการอักเสบ เจ็บตา คันตา มีหนองในตา รวมทั้งปัญหาในการมองเห็น หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยด่วน เพื่อป้องกันอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้     แนวทางการแก้อาการคันตาเบื้องต้น คันตาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและเกิดจากหลายสาเหตุ การดูแลเบื้องต้นสามารถช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นก่อนพบแพทย์ หากคุณมีอาการคันตา นี่คือแนวทางที่อาจช่วยบรรเทาอาการได้ง่ายๆ ล้างตาแก้อาการคันตา วิธีแรกในการแก้อาการคันตาคือการลืมตาในน้ำอุ่นหรือน้ำไหลผ่านดวงตาเบาๆ เพื่อชำระสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่นละออง หรือขนตาที่หลุดเข้าไปในตา อีกวิธีคือใช้คอตตอนบัดหรือสำลีก้อนจุ่มน้ำผสมแชมพูเด็ก เช็ดเบาๆ ที่เปลือกตาและขนตาขณะหลับตา จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด ช่วยบรรเทาอาการคันและทำความสะอาดสะเก็ดที่เปลือกตาได้ดี ไม่ขยี้ตา การขยี้ตาเมื่อคันตาอาจทำให้ฝุ่นหรือสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ตา ทำให้คันมากขึ้น หรือเกิดการระคายเคือง เช่น ตาแดงและตาอักเสบ นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการขีดข่วนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เจ็บตาและบาดเจ็บได้ ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาเพื่อป้องกันปัญหาดวงตาที่รุนแรงขึ้น ประคบเย็นที่ดวงตา การประคบเย็นที่ดวงตาช่วยลดอาการคันตาและตาบวมได้ โดยใช้ผ้าขนหนูสะอาดชุบน้ำเย็นแล้วประคบบนเปลือกตาประมาณ 10 นาที วิธีนี้ช่วยลดการไหลเวียนของเลือดและอาการบวม สามารถทำซ้ำได้ตามต้องการ กำจัดสารก่อภูมิแพ้ สารก่อภูมิแพ้ในบ้าน เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ เชื้อรา และรังแคจากสัตว์เลี้ยง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการคันตา ตาแดง ตาบวม และน้ำตาไหลในผู้ที่มีโรคภูมิแพ้ การทำความสะอาดบ้านและเครื่องนอนเป็นประจำ การปิดประตูหน้าต่างเมื่อมีลมแรง และการใช้เครื่องฟอกอากาศ จะช่วยบรรเทาอาการคันตาได้ ล้างหน้าและทำความสะอาดคอนแท็กต์เลนส์ให้ถูกวิธี การล้างเครื่องสำอางไม่สะอาดอาจทำให้เกิดอาการคันตา เนื่องจากฝุ่นผงจากเครื่องสำอางที่ใช้บริเวณคิ้วและตาเข้าไปในดวงตา ผู้ที่แต่งหน้าควรเช็ดเครื่องสำอางและล้างหน้าให้สะอาด และไม่ควรนอนหลับไปทั้งที่ยังไม่ได้ล้างหน้า นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการนอนหลับขณะที่ใส่คอนแท็กต์เลนส์ และทำความสะอาดคอนแท็กต์เลนส์อย่างเหมาะสม เพื่อช่วยแก้อาการคันตาและป้องกันการติดเชื้อในดวงตา ผ่อนคลายสายตาระหว่างวัน การใช้สายตาเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการตาแห้ง คันตา ตาล้า และปวดตา วิธีแก้อาการคันตาง่ายๆ คือการพักสายตาตามหลัก 20:20:20 ทุก 20 นาที โดยมองออกไปไกล 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อให้ดวงตาได้พักผ่อนและลดอาการคันตา ใช้น้ำตาเทียมรักษาความชุ่มชื้น หากมีอาการคันตาจากตาแห้ง การใช้น้ำตาเทียมที่สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา บรรเทาอาการคันตาและลดการระคายเคืองจากการใส่คอนแท็กต์เลนส์ได้     วิธีรักษาและดูแลอาการคันตา อาการคันตาเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และหากปล่อยไว้โดยไม่ดูแล อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ ดังนั้นการรักษาและดูแลอาการคันตาอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ดวงตาของคุณรู้สึกสบายและลดความเสี่ยงจากการเกิดปัญหาตามมา ต่อไปนี้คือวิธีการรักษาและดูแลอาการคันตาตามสาเหตุต่างๆ รักษาตามอาการแพ้ การบรรเทาอาการคันตาจากอาการแพ้สามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และใช้ยาแก้แพ้ เช่น ยารับประทานหรือยาหยอดตา ซึ่งยารับประทานบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการง่วง ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะหรือทำงานกับเครื่องจักรขณะใช้ยา นอกจากนี้การล้างดวงตาด้วยน้ำเกลือที่ปราศจากเชื้อจะช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง ควรเลือกน้ำเกลือที่ผ่านการฆ่าเชื้อและบรรจุในขวดที่ปิดสนิทเพื่อป้องกันการปนเปื้อน แก้อาการคันตาจากตาแห้ง อาการคันตาจากการผลิตน้ำตาน้อยกว่าปกติสามารถบรรเทาได้ด้วยการใช้น้ำตาเทียมที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป นอกจากนี้หากอาการคันตาเกิดจากการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้ง เช่น ห้องปรับอากาศ หรือที่มีลมแรง การเปลี่ยนสถานที่หรือการสวมแว่นตาป้องกันลมก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ รักษาภาวะเยื่อบุตาอักเสบ ภาวะนี้ส่วนใหญ่จะดีขึ้นได้เองโดยไม่ต้องรับการรักษาทางการแพทย์ ผู้ป่วยสามารถดูแลตัวเองได้โดยหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์ ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสตา และหยอดน้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา หากอาการรุนแรงและต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับการดูแลตัวเองตามที่กล่าวมา รักษาเปลือกตาอักเสบ การรักษาเปลือกตาอักเสบขึ้นอยู่กับสาเหตุของการอักเสบ โดยเบื้องต้นแพทย์จะรักษาตามอาการเพื่อลดอาการคันตา เช่น การประคบอุ่นและทำความสะอาดเปลือกตาด้วยแชมพูหรือสบู่เด็ก นอกจากนี้หากมีการติดเชื้อ อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย รักษาอาการติดเชื้อที่ตา สาเหตุนี้พบได้บ่อยในผู้ที่ใส่คอนแท็กต์เลนส์ โดยแพทย์มักจะแนะนำให้หยุดใช้คอนแท็กต์เลนส์ชั่วคราว และอาจสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะทั้งชนิดหยอดตาหรือชนิดรับประทาน เพื่อช่วยรักษาอาการติดเชื้อ ดูแลรักษากระจกตาเป็นรอย อาการคันตาที่มีความรุนแรงควรได้รับการดูแลจากแพทย์ เพราะการรักษาด้วยตัวเองอาจไม่เพียงพอ และหากปล่อยไว้อาจทำให้กระจกตาเกิดรอยถาวรได้ หากอาการคันตาเริ่มรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาการอาจลุกลามและเป็นอันตรายต่อดวงตาได้     วิธีป้องกันไม่ให้เกิดอาการคันตา วิธีป้องกันอาการคันตาที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการดังกล่าว โดยหากสาเหตุเกิดจากอาการแพ้หรือโรคภูมิแพ้ ควรปฏิบัติตามวิธีดังนี้ หลีกเลี่ยงการเปิดหน้าต่างโดยไม่จำเป็น เพื่อลดการเข้ามาของฝุ่นละอองและมลพิษที่อาจกระตุ้นอาการคันตา ใช้ผ้าปูที่ป้องกันไรฝุ่น และทำความสะอาดเครื่องนอนเป็นประจำ โดยการซักด้วยน้ำร้อนเพื่อลดการสะสมของไรฝุ่นและเชื้อรา ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนสัมผัสคอนแท็กต์เลนส์และดวงตา เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อโรคและสิ่งสกปรก ทำความสะอาดเครื่องสำอางทุกครั้งก่อนเข้านอน โดยเฉพาะบริเวณดวงตา เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขนที่อาจทำให้เกิดเปลือกตาอักเสบ ทำความสะอาดตัวกรองในเครื่องปรับอากาศเป็นประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของฝุ่นและเชื้อโรคที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ในห้องที่ระบายอากาศไม่ดี เพื่อไม่ให้สารเคมีในควันบุหรี่กระตุ้นอาการคันตา สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตา เช่น แว่นกันสารเคมีหรือหน้ากากอนามัย หากทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อสารเคมีหรือมลพิษ อาบน้ำและทำความสะอาดร่างกายทุกครั้งหลังกลับบ้าน เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคหรือมลพิษที่ติดมากับร่างกายเข้าสู่บ้าน หลีกเลี่ยงการเกาที่ตาหรือบริเวณที่รู้สึกคัน เพราะการเกาอาจกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสารฮีสตามีนที่ทำให้การแพ้รุนแรงขึ้น ใช้น้ำเกลือชำระล้างดวงตา โดยใช้น้ำเกลือที่ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกวิธีและไม่มีสารเติมแต่งหรือวัตถุกันเสีย เพื่อความสะอาดและปลอดภัย สรุป อาการคันตาสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การแพ้ การติดเชื้อ การใช้คอนแท็กต์เลนส์ หรือการขาดความชุ่มชื้นในดวงตา การบรรเทาอาการคันตาเบื้องต้นสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการขยี้ตา ล้างตาด้วยน้ำเกลือ ใช้น้ำตาเทียม ประคบเย็น และพักสายตา การป้องกันสามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ทำความสะอาดดวงตาและคอนแท็กต์เลนส์อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลให้ดี หากอาการรุนแรงควรพบแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสม โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพพร้อมให้บริการดูแลและรักษาอาการคันตา โดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและการรักษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามไปสู่ปัญหาที่ร้ายแรงต่อจอประสาทตา และภาวะหรือโรคตาอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ FAQ มาดูคำถามเกี่ยวกับอาการคันตาที่พบบ่อย ซึ่งหลายคนมักสงสัยกันบ้าง เราจะมาไขข้อสงสัยและให้คำแนะนำในการดูแลเบื้องต้นเพื่อให้เข้าใจสาเหตุและวิธีการรับมือกับอาการคันตาได้ง่ายขึ้น ทำอย่างไรให้หายคันตา การแก้ไขและดูแลอาการคันตาด้วยตัวเอง เช่น ใช้น้ำตาเทียมล้างตา ประคบเย็นบรรเทาอักเสบ สวมหมวกหรือแว่นกันแดดเพื่อป้องกันละอองเกสร อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายหลังกลับบ้าน และล้างมือก่อนสัมผัสดวงตาทุกครั้ง ทำไมถึงรู้สึกคันตาตลอดเวลา อาการคันตาตลอดเวลามักเกิดจากโรคภูมิแพ้ที่มีสารก่อภูมิแพ้ เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่น และขนสัตว์ ซึ่งทำให้ร่างกายปล่อยฮิสตามินทำให้ตาคัน แดง และบวม คันหัวตายิบๆ คืออาการอะไร   คันหัวตายิบๆ เป็นอาการที่พบบ่อยในคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางจมูก ซึ่งอาจลามขึ้นตามท่อน้ำตา ทำให้เกิดอาการคันหัวตามากๆ เมื่อภูมิแพ้กำเริบ

รู้จักกับแสงสีฟ้าในชีวิตประจำวัน และวิธีลดผลกระทบต่อสุขภาพดวงตา

แสงสีฟ้าคือคลื่นแสงพลังงานสูงที่มีความยาวคลื่นสั้น อยู่ในช่วง 415-455 นาโนเมตร พบได้ทั้งจากแหล่งธรรมชาติ เช่น แสงอาทิตย์ และจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเลต สมาร์ตโฟน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อดวงตาและการนอนหลับได้ แสงสีฟ้าอาจทำให้ดวงตาล้า ตาแห้ง มองเห็นไม่ชัด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อม และรบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ส่งผลให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท การป้องกันแสงสีฟ้าทำได้โดยปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม ใช้โหมดแสงสีโทนอุ่น สวมแว่นกรองแสงสีฟ้า พักสายตาด้วยกฎ 20-20-20 ใช้น้ำตาเทียมบรรเทาตาแห้ง และหลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอก่อนนอน Bangkok Eye Hospital มีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการตาล้า ตาแห้ง และปัญหาสายตาจากแสงสีฟ้า ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมในอนาคต   ยุคที่เทคโนโลยีและการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น แสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากหน้าจอเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่เราสัมผัสอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าแสงสีฟ้าจะมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ก็มีผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาและการนอนหลับหากได้รับในปริมาณมากเกินไป มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับแสงสีฟ้าและวิธีการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาและการใช้ชีวิตประจำวันกัน     แสงสีฟ้าคืออะไร? ทำไมถึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตา แสงสีฟ้า (Blue Light) คือคลื่นแสงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งมีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 415-455 nm แสงสีฟ้ามีพลังงานสูงและคล้ายคลึงกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จึงสามารถทะลุผ่านอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะดวงตาและอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตา     แหล่งที่มาของแสงสีฟ้าในชีวิตประจำวัน ในชีวิตประจำวัน การหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากแสงสีฟ้ามีทั้งที่มาจากแหล่งธรรมชาติและสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ ซึ่งแต่ละแหล่งจะมีระดับความเข้มข้นของแสงสีฟ้าที่แตกต่างกันไป ดังนี้ แสงสีฟ้าจากธรรมชาติ นอกจากแสงสีฟ้าที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว แสงสีฟ้ายังสามารถพบได้จากธรรมชาติอีกด้วย เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีพลังงานสูงและความยาวคลื่นสั้น เมื่อแสงเหล่านี้ปะทะกับโมเลกุลของน้ำและอากาศ จะกระจายฟุ้งออกทั่วท้องฟ้าในเวลากลางวัน ทำให้เรามองเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า แสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แสงสีฟ้าที่มาจากหน้าจอของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สมาร์ตโฟน อุปกรณ์ทัชสกรีนต่างๆ หรือแม้กระทั่งหลอดไฟฟ้า ความเข้มข้นของแสงสีฟ้าในแต่ละอุปกรณ์อาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะและประเภทของอุปกรณ์นั้นๆ     ผลกระทบของแสงสีฟ้าต่อสุขภาพดวงตาและการนอนหลับ อันตรายจากแสงสีฟ้าคือการที่คลื่นพลังงานสูงสามารถทำลายเซลล์ในเลนส์ตา โดยเฉพาะจอตา (Retina) ส่งผลให้การส่งภาพไปยังประสาทตาไม่แม่นยำ ทำให้มองเห็นภาพเบลอ ตามัว หรือปรับแสงไม่ทัน ซึ่งอาจทำให้ดวงตาต้องใช้เวลาปรับตัวกับสภาพแสงใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพดวงตาและการนอนหลับได้ดังนี้ อาการตาล้าและตาแห้ง อาการตาล้า (Asthenopia)และตาแห้ง (Dry Eyes)มักเกิดจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีรังสี UV และคลื่นแสงสีฟ้าที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการคันตาและตาแดง หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะผิวกระจกตาอักเสบพร้อมรอยแผลบนกระจกตา และทำให้พื้นผิวกระจกตามีความขรุขระ ส่งผลให้เกิดความระคายเคืองและความรำคาญขณะใช้สายตาในชีวิตประจำวัน จอประสาทตาเสื่อม โรคจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration)เกิดจากภาวะจอตาบวมและจุดภาพชัด (Macula) ที่รับคลื่นพลังงานแสงสีฟ้าจากหน้าจอ โดยไม่ใช้แว่นกรองแสงสีฟ้าหรืออุปกรณ์ป้องกันดวงตา ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพในการส่งสัญญาณการมองเห็นไปยังเส้นประสาทตา ส่งผลให้เกิดอาการตามัวและการมองเห็นที่เสื่อมลง เช่น เห็นภาพสีเพี้ยน มองไม่ชัด หรือเห็นจุดดำตรงกลางภาพ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้แสงสีฟ้า เช่น ตาแสบ ตาร้อน และตาแห้ง หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่การตาบอดในที่สุด นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท การได้รับคลื่นพลังงานแสงสีฟ้ามากเกินไปสามารถส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ (Insomnia) โดยการรบกวนระบบนาฬิกาชีวิต (Circadian Rhythm) ของร่างกาย แสงสีฟ้าจากหน้าจอจะทำให้ต่อมไพเนียล (Pineal gland) ที่ผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ซึ่งอาจทำให้สุขภาพโดยรวมเสื่อมลงหากไม่ได้รับการดูแล     วิธีป้องกันแสงสีฟ้าจากหน้าจอ การป้องกันแสงสีฟ้าจากหน้าจอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยถนอมดวงตาและหลีกเลี่ยงผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้หน้าจอนานๆ ซึ่งมีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดการสัมผัสกับแสงสีฟ้า ได้แก่ ใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า การเลือกใช้เลนส์กรองแสงสีฟ้าสามารถช่วยลดความเครียดของดวงตาและอาการอักเสบ เช่น ตาแดงได้ โดยควรเลือกเลนส์ที่มีประสิทธิภาพในการกรองแสงสีฟ้าระหว่าง 10-65% การทดสอบคุณภาพสามารถทำได้โดยการวัดผลสเปกตรัม RGB ทดสอบเม็ดสีของเลนส์ หรือการสะท้อนแสงสีฟ้าจากเลนส์เพื่อเช็คประสิทธิภาพการกรองแสง ปรับความสว่างหน้าจอให้พอดี ควรปรับระดับแสงจากหน้าจอให้เป็นโทน Warm light เพื่อให้สอดคล้องกับแสงในห้องที่ใช้งาน หากทำงานในเวลากลางคืน ควรเปิดโคมไฟแสงสีขาวร่วมกับการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์ พักสายตาตามหลัก 20-20-20 การถนอมสายตาด้วยกฎ 20-20-20 คือการพักดวงตาที่ได้รับรังสีแสงสีฟ้าจากการใช้งานคอมพิวเตอร์หรือทำกิจกรรมที่ใช้สายตามากเกินไป โดยเริ่มจากการหลับตาหรือมองออกไปยังทิวทัศน์ที่มีระยะห่างอย่างน้อย 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที ทุกๆ 20 นาทีในระหว่างทำกิจกรรม ติดฟิล์มกรองแสงสีฟ้า ฟิล์มกรองแสงบนจอคอมพิวเตอร์ช่วยป้องกันแสงสีฟ้าที่มีคลื่นรังสี UV และพลังงานสูง ซึ่งสามารถลดอาการตาล้า สายตามัว และตาเบลอจากการจ้องจอนานๆ นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของดวงตา และเพิ่มอายุการใช้งานของสายตาให้ยาวนานขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดภาระการปรับตัวโฟกัสของสายตาจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง     หยอดน้ำตาเทียม น้ำตาเทียม (Artificial tears)เป็นสารที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับน้ำตาธรรมชาติ ช่วยหล่อลื่นและเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ดวงตา บรรเทาอาการตาล้า ตาแห้ง และอาการแพ้แสงสีฟ้าจากการใช้จอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยช่วยลดความระคายเคืองในดวงตาและทำให้อาการตาล้าบรรเทาลงได้ รับประทานอาหารบำรุงสายตา สารอาหารบำรุงสายตาที่ช่วยลดอาการตาแห้ง ตาล้า และต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ การรับสารอาหาร Omega-3 fatty acids ที่มักพบใน ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ทูน่า แมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ที่มีสารแอนโธไซยานิน (Anthocyanins) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตในดวงตา รวมไปถึง Lutein และ Zeaxanthin ที่มักพบในผักใบเขียว ช่วยลดอาการตาล้า และดวงตาฟื้นตัวเร็วขึ้นจากการใช้งานหนัก ตรวจสุขภาพดวงตาสม่ำเสมอ ผู้ที่ทำงานโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน เช่น พนักงานออฟฟิศ ฟรีแลนซ์ในสายงานดิจิทัล โปรแกรมเมอร์ และอาชีพอื่นๆ ที่ต้องจดจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไปอาจเกิดภาวะตาล้าสะสมได้ รวมถึงคนที่มีภาวะสายตาสั้นหรืออายุ 40 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีอาการสายตายาว ควรนัดตรวจสุขภาพตาประจำปี เพื่อประเมินสภาพการทำงานของดวงตา พร้อมรับคำแนะนำในการถนอมสายตาจากแสงสีฟ้า เช่น การสวมแว่นตาที่มีเลนส์กรองแสงสีฟ้า และการให้ยาบำรุงสายตา   สรุป แสงสีฟ้า (Blue Light) คือแสงที่มาจากแหล่งต่างๆ ทั้งจากธรรมชาติ เช่น แสงแดด และจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ แสงสีฟ้ามีความเข้มข้นสูงและสามารถทะลุผ่านดวงตาไปยังจอตา ทำให้เกิดอาการตาล้า ตาแห้ง และเสี่ยงต่อโรคตาเสื่อมและปัญหาการนอนหลับ วิธีป้องกัน ได้แก่ การใช้เลนส์กรองแสงสีฟ้า การพักสายตา และปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม   โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพมีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการตาล้าและตาแห้งจากแสงสีฟ้า ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อป้องกันและรักษาอาการเหล่านี้ก่อนที่จะลุกลามและกลายเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ที่อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาว   FAQ แสงสีฟ้าที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดวงตาของเราในชีวิตประจำวัน หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับแสงสีฟ้า นี่คือคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแสงสีฟ้า เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและรับมือได้ดีขึ้น แสงสีฟ้าอันตรายและทำลายตาจริงไหม? แสงสีฟ้าสามารถทะลุเข้าทำลายเซลล์รับแสงในจอตา ซึ่งอาจส่งผลให้การมองเห็นในส่วนกลางของภาพเสื่อมลงได้ แว่นตัดแสงสีฟ้า จำเป็นไหม แว่นตัดแสงสีฟ้ายังไม่จำเป็นสำหรับบุคคลทั่วไป แต่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้หน้าจอเป็นเวลานาน หรือผู้ที่มีปัญหาจอตาเสื่อมอยู่แล้ว ทำไมแสงสีฟ้าทำให้นอนไม่หลับ   เมื่อดวงตามองเห็นแสงสีฟ้า มันจะส่งสัญญาณไปยังสมองว่าเป็นเวลากลางวัน ซึ่งจะไปกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมนาฬิกาชีวิตของเรา โดยเฉพาะการนอนหลับและการตื่นนอน เมื่อมีแสงสีฟ้ามากเกินไปในช่วงเย็น จะทำให้การผลิตเมลาโทนินลดลง จึงทำให้เรานอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท

เข้าใจค่าสายตาแบบต่างๆ และผลกระทบต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวัน

การเข้าใจค่าสายตาต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพตา เนื่องจากแต่ละประเภทของค่าสายตาจะส่งผลต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวัน การเลือกแว่นตาหรือการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นได้มากขึ้น ดังนั้นการรู้จักค่าสายตาจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพตาอย่างถูกต้อง   ค่าสายตาคือการวัดความสามารถในการมองเห็น โดยใช้หน่วยเป็นไดออปเตอร์ (D) แสดงค่าความผิดปกติของสายตา เช่น สายตาสั้น (–) หรือสายตายาว (+) ค่าเหล่านี้จะช่วยกำหนดว่าต้องใช้แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์เพื่อปรับการมองเห็นให้ชัดเจนขึ้น การวัดค่าสายตาทำโดยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เครื่องวัดค่าสายตา (Refractometer) ซึ่งจะให้ผู้ตรวจสวมแว่นที่มีเลนส์ต่างๆ เพื่อทดสอบการมองเห็น โดยจะแสดงผลค่าสายตาในรูปแบบ SPH, CYL, AXIS และ ADD ขึ้นอยู่กับลักษณะของการมองเห็น การทำเลสิกที่ Bangkok Eye Hospital มีข้อดีคือใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในกระบวนการรักษา รวมถึงการให้คำปรึกษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการ สามารถแก้ไขค่าสายตาสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย     ทำความรู้จักกับค่าสายตา ค่าสายตาคือค่าที่บ่งชี้ถึงความสามารถในการมองเห็น ซึ่งวัดจากกำลังของกระจกตาและเลนส์ตารวมกัน โดยใช้หน่วยวัดเป็นไดออปเตอร์ (Diopter หรือ D.) ค่าสายตาที่เราคุ้นเคยเช่น สายตาสั้น 50, 75, 150 หรือ 200 แต่การเรียกค่าสายตาแบบนี้ไม่เป็นมาตรฐานสากล เนื่องจากจริงๆ แล้วจะใช้เลขทศนิยมสองตำแหน่งในหน่วยไดออปเตอร์ในการวัดค่าสายตา วิธีอ่านค่าสายตาเบื้องต้น วิธีอ่านค่าสายตาเบื้องต้นสามารถทำได้โดยการดูตัวเลขที่ระบุในใบสั่งแว่นตา เช่น RE -2.00 -0.50x180 โดยค่าสายตาจะมีลักษณะดังนี้ RE (Right Eye) หรือ OD (Oculus Dexter) หมายถึงค่าสายตาของตาด้านขวา ส่วน LE (Left Eye) หรือ OS (Oculus Sinister) หมายถึงค่าสายตาของตาด้านซ้าย ดังนั้นในตัวอย่างนี้ ค่าสายตาที่ระบุคือสำหรับตาด้านขวา ค่าสายตาสั้นหรือยาวจะขึ้นอยู่กับเครื่องหมายหน้าตัวเลข หากเป็นเครื่องหมายลบ (-) แสดงว่าเป็นค่าสายตาสั้น เช่น “-2.00” คือสายตาสั้น 2.00 ไดออปเตอร์ หรือสายตาสั้น 200 หากเป็นเครื่องหมายบวก (+) แสดงว่าเป็นค่าสายตายาว ค่าสายตาเอียงจะมีค่าที่บอกทั้งระดับความเอียงในหน่วยไดออปเตอร์ และมุมการเอียงในองศา เช่น จากตัวอย่าง “-0.50x180” หมายถึง สายตาเอียง -0.50 ไดออปเตอร์ ที่มุม 180 องศา     ส่วนประกอบของค่าสายตามีอะไรบ้าง ข้อมูลสำคัญที่อยู่ในใบค่าสายตาจะช่วยในการกำหนดแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ให้เหมาะสมกับผู้ใช้ ซึ่งประกอบด้วยหลายส่วน ได้แก่ ตัว R และ Lในใบค่าสายตา "R" หมายถึง ตาข้างขวา และ "L" หมายถึง ตาข้างซ้าย บางแห่งอาจใช้คำย่อว่า OD และ OS ซึ่งมีความหมายเดียวกัน โดยที่ OD หมายถึง ตาข้างขวา และ OS หมายถึง ตาข้างซ้าย SPHค่าสายตาจะถูกวัดในหน่วยไดออปเตอร์ โดยมีเครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) ที่กำกับตัวเลข เครื่องหมายบวก (+) หมายถึง สายตายาว และเครื่องหมายลบ (-) หมายถึง สายตาสั้น ตัวอย่างเช่น -2.00 หมายถึง ค่าสายตาสั้น 2 ไดออปเตอร์ หรือสายตาสั้น 200 CYLค่าสายตาเอียง (Cylinder หรือ CYL) สามารถมีทั้งเครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) เช่นเดียวกับค่า SPH (Sphere) โดยมีค่าที่บอกมุมองศาของการเอียงในระดับที่แตกต่างกัน AXISค่าสายตาเอียง (Cylinder หรือ CYL) หมายถึง องศาของการเอียงของสายตา ซึ่งจะถูกกำหนดด้วยตัวเลขที่บอกมุมองศาในการเอียงของลูกตา ADDหมายถึง ค่าสายตายาวตามวัย ซึ่งมักพบในผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป     การวัดค่าสายตาทำอย่างไร? การวัดค่าสายตาเริ่มจากการใช้เครื่องวัดสายตาระบบคอมพิวเตอร์ (Auto Refractometer) เพื่อหาค่าพื้นฐาน แต่บางครั้งค่าอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงต้องใช้การวัดแบบถามตอบ (Subjective Refraction) โดยให้ดูภาพและตอบคำถามเพื่อหาค่าสายตาที่แม่นยำขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถวัดค่าสายตาด้วยตัวเองเบื้องต้นได้ผ่านแอปพลิเคชันหรือเครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยตรวจสอบความผิดปกติของสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง     ค่าสายตาสั้นมากแค่ไหนถึงจะจำเป็นต้องใส่แว่นตา ค่าสายตาสั้นมากแค่ไหนถึงจะจำเป็นต้องใส่แว่นตา? คำถามนี้หลายคนสงสัย การใส่แว่นตาจะขึ้นอยู่กับค่าสายตาและความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยจะแบ่งค่าสายตาสั้นได้ ดังนี้ สายตาสั้น 50 สายตาสั้น 50 ไดออปเตอร์ไม่จำเป็นต้องใส่แว่นตาเสมอไป เพราะค่าสายตานี้ใกล้เคียงกับสายตาปกติ ผู้ที่มีสายตาสั้น 50 ไดออปเตอร์สามารถเลือกใส่แว่นตาในบางสถานการณ์ที่ต้องใช้สายตามากๆ เช่น การใช้โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรืออ่านหนังสือ หรืออาจเลือกไม่ใส่แว่นเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชัดเจนในการมองเห็นของแต่ละบุคคล สายตาสั้น 75-100 ค่าสายตาสั้น 75 และ 100 ไดออปเตอร์ถือว่าอยู่ในระดับก้ำกึ่ง บางคนอาจรู้สึกว่าการใช้ชีวิตประจำวันยากขึ้นเมื่อไม่ได้ใส่แว่น แต่บางคนก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากสายตาปกติ ดังนั้นการใส่แว่นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน สายตาสั้น 100 ไม่ถือว่าอันตราย แต่หากมีอาการอื่นๆ ร่วม เช่น ปวดศีรษะ ปวดตา หรือค่าสายตาเปลี่ยนเร็ว ควรพบจักษุแพทย์เพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม สายตาสั้น 150-200 สายตาสั้น 150-200 ไดออปเตอร์ส่วนใหญ่จะเริ่มทำให้มองเห็นไม่ชัด หากส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือการทำงาน ควรใส่แว่นเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ หรือหากต้องเพ่งสายตาเพื่อมองเห็น ควรใส่แว่นเพื่อลดอาการตาล้าปวดหัวจากการใช้สายตามากเกินไป สายตาสั้น 300 ขึ้นไป สายตาสั้น 300 ถือว่าค่อนข้างเยอะและมีผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างมาก ผู้ที่มีค่าสายตาสั้น 300 ควรใส่แว่นตลอดเวลา เพื่อป้องกันอาการตาเมื่อย ตาล้า และช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากการมองเห็นไม่ชัด     ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสายตาสั้น หลายคนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับสายตาสั้น ดังนั้นมาปรับความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสายตาสั้นเพื่อการดูแลสุขภาพตาอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการมองเห็นไม่ชัดและอาการต่างๆ ที่อาจตามมา   ไม่ใส่แว่นตลอดสายตาจะสั้นลง เรื่องนี้ไม่จริงเสมอไป เพราะเกิดเฉพาะในเด็กที่ดวงตายังเติบโตได้ หากไม่ใส่แว่นตลอดเวลาจะทำให้ลูกตายืดออกผิดปกติ (Elongation) ส่งผลให้สายตาสั้นมากขึ้น ในขณะที่ผู้ใหญ่จะไม่เกิดการยืดลูกตาเพียงแค่เพ่งสายตาชั่วขณะ แต่จะทำให้เกิดอาการตาเมื่อย ตาล้า หรือปวดศีรษะแทน และไม่ทำให้สายตาสั้นขึ้นแต่อย่างใด   เด็กไม่ควรใส่แว่นตามค่าสายตา หลายคนเข้าใจผิดว่าเด็กควรหลีกเลี่ยงการใส่แว่นที่ค่าสายตามากๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้สายตาสั้นมากขึ้น แต่ในความจริง หากเด็กไม่ใส่แว่นตามค่าสายตาที่ควรเป็น จะทำให้เด็กต้องเพ่งสายตาบ่อยๆ ซึ่งจะทำให้ลูกตายืดออกและทำให้สายตาสั้นมากขึ้น ดังนั้นการใส่แว่นตาที่เหมาะสมกับค่าสายตาตั้งแต่เริ่มต้นจึงสำคัญเพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้น   สายตาสั้นไม่ได้ทำให้ตาบอด จริงๆ แล้ว สายตาสั้นอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้ หากค่าสายตาสั้นมากและไม่ได้รับการรักษา เช่น การใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ หรือการทำเลสิก อาจทำให้เห็นภาพไม่ชัดเจน และในกรณีที่สายตาสั้นมาก อาจเสี่ยงต่อโรคที่ทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น เช่นจอประสาทตาเสื่อมน้ำวุ้นตาเสื่อม หรือจอตาฉีกขาดได้   ค่าสายตายาวและค่าสายตาสั้นหักลบกันได้ สายตาสั้นและสายตายาวไม่สามารถหักลบกันได้ เพราะเป็นความผิดปกติที่เกิดจากส่วนต่างกันในดวงตา สายตาสั้นเกิดจากสรีระดวงตา ส่วนสายตายาวเกิดจากการเสื่อมของกล้ามเนื้อควบคุมเลนส์ตาเมื่ออายุมากขึ้น ค่าสายตาจึงอาจมีทั้งสายตาสั้นและสายตายาวพร้อมกัน เช่น “LE -1.00 +2.00 add” ในการทำแว่นตา เลนส์จะถูกแบ่งเป็นสองส่วน เพื่อให้สามารถแก้ไขทั้งสองค่าสายตาได้   สายตาสั้นน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น บางกรณีสำหรับเด็กที่มีสายตาสั้น เมื่อโตขึ้นอาจพบว่าค่าสายตาสั้นน้อยลง เนื่องจากการเติบโตของลูกตาที่สมดุลขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าสายตาสั้นจะหายไปเมื่ออายุมากขึ้น แม้ว่าจะมีอาการสายตายาวตามวัย สายตาสั้นและสายตายาวเป็นปัญหาคนละส่วนกัน จึงไม่สามารถหักล้างกันได้ สายตาสั้นจะไม่หายไปจากการเกิดสายตายาว     ทางเลือกในการรักษาสายตาสั้นโดยไม่ต้องใส่แว่น นอกจากการใส่แว่นแล้ว ยังมีหลายวิธีในการรักษาสายตาสั้นขึ้นอยู่กับค่าสายตาและความสะดวกของแต่ละบุคคล เช่น ใส่คอนแท็กต์เลนส์ คอนแท็กต์เลนส์เป็นวิธีที่นิยมสำหรับคนที่มีปัญหาสายตาสั้น เพราะสะดวก ไม่ต้องใส่แว่น เหมาะสำหรับสายตาสั้น 50 หรือ 200 ขึ้นไป ข้อดีคือใช้งานสะดวก แต่ก็ต้องมีวินัยในการดูแลความสะอาด หากละเลยอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรืออักเสบที่ตาได้ เลสิกรักษาค่าสายตา เลสิกเป็นการรักษาสายตาสั้นโดยการใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตาให้แบนลง เพื่อให้จุดตัดของแสงมาตรงที่จอตา ซึ่งช่วยแก้ไขสายตาสั้นได้สูงสุดถึง -14.00 ไดออปเตอร์ ข้อจำกัดของการทำเลสิกคือกระจกตาต้องมีความหนาพอและค่าสายตาต้องคงที่ เนื่องจากไม่สามารถทำซ้ำได้ง่ายหากมีการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาหลังการทำเลสิก SMILE Pro® รักษาค่าสายตา SMILE Pro® เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน มอบความรวดเร็วและความแม่นยำสูง โดยใช้เลเซอร์ VisuMax 800 ซึ่งสามารถแก้ไขสายตาได้ภายในเพียง 8 วินาทีต่อข้าง โดยไม่ต้องเปิดแผลขนาดใหญ่ ทำให้เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะตาแห้ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขสายตาอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย Femto LASIKแยกชั้นกระจกตา Femto LASIK หรือเลสิกไร้ใบมีด ใช้เลเซอร์ในการแยกชั้นกระจกตาให้มีความแม่นยำสูง โดยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ข้อจำกัดคือจะทำให้ตาแห้งมากหลังผ่าตัด และแผลผ่าตัดจะมีขนาดใหญ่ ทำให้ต้องระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ วิธีนี้สามารถแก้ไขสายตาสั้นได้ระหว่าง -1.00 ถึง -10.00 ไดออปเตอร์ PRK แก้ไขค่าสายตา PRK เป็นการแก้ไขค่าสายตาโดยการปรับความโค้งกระจกตาด้านนอกโดยไม่ต้องเปิดชั้นกระจกตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาชีพเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่ตา เช่น ตำรวจหรือทหาร อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่มีข้อจำกัด เช่น ตาแห้งหรือกระจกตาบาง ข้อจำกัดของวิธีนี้คือสามารถแก้ไขสายตาสั้นได้สูงสุดที่ -5.00 ไดออปเตอร์ และหลังการผ่าตัดต้องใส่คอนแท็กต์เลนส์พิเศษเพื่อให้กระจกตาฟื้นตัว ทำICL ใส่เลนส์เทียม ICL (Implantable Collamer Lens) เป็นการรักษาสายตาด้วยการใส่เลนส์เทียมเข้าไปในตาเพื่อปรับการหักเหแสง แผลจากการผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 3 มิลลิเมตร ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 10-15 นาที   วิธีนี้ปลอดภัยมากและสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีค่าสายตาสั้นสูง หรือผู้ที่มีตาแห้งและกระจกตาบาง ข้อจำกัดคืออาจพบความผิดปกติของความดันตาหลังการผ่าตัด แต่สามารถควบคุมได้โดยแพทย์   สรุป ค่าสายตาสั้นคือความผิดปกติของการหักเหแสงในตา ทำให้มองเห็นภาพในระยะไกลไม่ชัดเจน โดยเกิดจากดวงตาที่ยาวเกินไปหรือความโค้งของกระจกตาที่มากเกินไป การรักษาหลักๆ ได้แก่ การใส่แว่นตา คอนแท็กต์เลนส์ หรือการผ่าตัด เช่น เลสิกหรือการใส่เลนส์เทียม ICL ขึ้นอยู่กับระดับค่าสายตาและความต้องการของผู้ใช้   ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospitalบริการทำเลสิกสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้น ซึ่งเป็นวิธีการรักษาค่าสายตาด้วยการใช้เลเซอร์ปรับรูปกระจกตาให้มีความโค้งที่เหมาะสม เพื่อให้การมองเห็นในระยะไกลชัดเจน โดยไม่ต้องใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์หลังการผ่าตัด   FAQ หลายคนมักมีคำถามเกี่ยวกับค่าสายตา ในส่วนนี้เราจะตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับค่าสายตา เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจค่าสายตาของตัวเองได้ง่ายขึ้น   ค่าสายตา +1.75 คืออะไร   ค่าสายตายาวจะมีเครื่องหมายบวก (+) เช่น +1.75 ซึ่งหมายความว่าผู้ที่มีค่าสายตานี้จะพบปัญหาในการมองเห็นวัตถุใกล้   ค่าสายตาปกติเท่ากับเท่าไร ค่าสายตา 0.00 หมายถึงค่าสายตาปกติ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้แว่นตาหรือการแก้ไขใดๆ เพราะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งระยะใกล้และไกล ค่าสายตา -1.25 คือเท่าไร   ค่าสายตา -1.25 คือค่าสายตาที่เริ่มทำให้มองเห็นไม่ชัดในบางช่วง หรือจำเป็นต้องมองใกล้ขึ้น การใส่แว่นตลอดเวลาจะช่วยลดความเครียดจากการใช้สายตามากเกินไป
calling
ទំនាក់ទំនងមកយើងខ្ញុំ : +662 511 2111