มุมสุขภาพตา

เรียงตาม

ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และพฤติกรรมที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษากระจกตา

ขี้ตาเยอะเกิดจากอะไร? ทำไมถึงเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพดวงตา

ขี้ตาเยอะคืออาการที่มีขี้ตาสะสมบริเวณหัวตาหรือเปลือกตามากผิดปกติ เกิดจากเมือก เซลล์ผิวหนัง น้ำมัน และฝุ่นผง โดยอาจเป็นเรื่องปกติ แต่หากเป็นต่อเนื่องหลายวัน อาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บหรือติดเชื้อที่ดวงตาได้ ขี้ตาเยอะผิดปกติ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เยื่อบุตาอักเสบ (ตาแดง) ตากุ้งยิง ภูมิแพ้ ตาแห้ง และการอุดตันของท่อน้ำตา เป็นต้น วิธีรักษาขี้ตาเยอะ เช่น ใช้ยาหยอดตา ประคบอุ่น และใช้น้ำตาเทียม หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับขี้ตาเยอะจนส่งผลกระทบต่อกระจกตา ควรรีบไปรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ศูนย์รักษากระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพโดยเร็วที่สุด การที่มีขี้ตาเยอะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพดวงตา ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การผลิตน้ำตาหรือมูกที่มากเกินไป หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อหรือการระคายเคืองในดวงตา เมื่อเกิดปัญหานี้อาจทำให้เกิดความไม่สบายตา และในบางกรณีอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้นได้ ดังนั้นการเข้าใจสาเหตุและอาการของขี้ตาที่ผิดปกติจะช่วยให้คุณสามารถดูแลและป้องกันปัญหาสุขภาพตาได้อย่างทันท่วงที     สาเหตุของปัญหาขี้ตาเยอะ ที่ไม่ควรมองข้าม ขี้ตาเยอะคืออาการที่มีขี้ตาสะสมบริเวณหัวตาหรือเปลือกตามากผิดปกติ เกิดจากเมือก เซลล์ผิวหนัง น้ำมัน และฝุ่นผง โดยอาจเป็นเรื่องปกติ แต่หากเป็นต่อเนื่องหลายวัน อาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บหรือติดเชื้อที่ดวงตาได้ สาเหตุของขี้ตาเยอะมีหลายอย่าง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้ ท่อน้ำตาอุดตัน เด็กทารกแรกเกิดมักมีท่อน้ำตาขนาดเล็กที่อุดตันได้ง่าย ทำให้เกิดการสะสมของขี้ตาสีขาวหรือเหลือง ซึ่งอาจดูคล้ายหนองได้ อย่างไรก็ตามหากทารกมีขี้ตาเยอะแต่ไม่มีอาการตาแดงร่วมด้วย ก็อาจไม่ใช่สัญญาณของการติดเชื้อเสมอไป เยื่อบุตาอักเสบจากไวรัส เยื่อบุตาอักเสบจากไวรัสแพร่กระจายได้ง่าย เกิดจากไวรัส เช่น ไวรัสหวัด หรือไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (Herpes simplex)ขี้ตาเยอะที่เกิดจากเยื่อบุตาอักเสบจากไวรัส มักมีลักษณะใสและเหลว หรืออาจมีเมือกสีขาวหรือเหลืองอ่อน เยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรีย เยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรีย เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อการมองเห็นหากไม่ได้รับการรักษาทันที ขี้ตาเยอะจากเยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรียมักมีลักษณะหนากว่าและคล้ายหนองมากกว่าขี้ตาจากเยื่อบุตาอักเสบจากไวรัส และมักมีสีเหลือง เขียว หรือเทา บ่อยครั้งที่ขี้ตาเหนียวๆ จะทำให้เปลือกตาติดกันแน่นหลังตื่นนอนในตอนเช้า เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ ขี้ตาเยอะที่เกิดจากเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ เกิดจากการตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ ฝุ่น และสารระคายเคืองอื่นๆ ที่พบได้ทั่วไป นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อมลพิษ สารเคมี เครื่องสำอาง น้ำยาคอนแท็กต์เลนส์ และยาหยอดตาได้ด้วย เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ มักทำให้เกิดขี้ตาที่มีลักษณะเหลว ไม่แพร่เชื้อ และมักเกิดกับตาทั้งสองข้างพร้อมกัน ตากุ้งยิง ตากุ้งยิง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในต่อมไขมันใต้เปลือกตา ทำให้ต่อมไขมันอุดตันและเกิดตุ่มนูนคล้ายสิวที่ขอบเปลือกตา โดยมักมีอาการร่วม เช่น ตาแดง เปลือกตาบวม เจ็บเมื่อสัมผัส มีหนองสีเหลือง มีสะเก็ดแข็งที่เปลือกตา ไม่สบายตาเมื่อกระพริบตา และอาจมีขี้ตาเยอะร่วมกับตุ่มหนองที่สร้างความเจ็บปวดได้ ภาวะเปลือกตาอักเสบ เปลือกตาอักเสบ คือ ภาวะเรื้อรังที่เปลือกตาเกิดการอักเสบ โดยอาจเกิดจากการอักเสบของรูขุมขนขนตา หรือการผลิตไขมันจากต่อมไขมันที่ขอบเปลือกตามากเกินไป ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ (Meibomian Gland Dysfunction, MGD) อาจทำให้เกิดขี้ตาเป็นฟองเยอะ สะเก็ดแข็งที่เปลือกตา และหนองสีเหลืองหรือเขียว ร่วมกับอาการระคายเคืองและเจ็บปวด อาการตาแห้ง การผลิตน้ำตาไม่เพียงพอหรือต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ อาจนำไปสู่ภาวะตาแห้ง ซึ่งเป็นภาวะเรื้อรังที่ทำให้ผิวตาไม่ได้รับการหล่อลื่นอย่างเหมาะสม ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบ อาการของตาแห้งมีหลากหลาย เช่น ตาแดง มีเส้นเลือดในตา แสบร้อน ตามัว และรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา บางครั้งตาแห้งอาจทำให้มีขี้ตาเหลวออกมาเยอะได้ ถุงน้ำตาอักเสบและติดเชื้อ เมื่อท่อน้ำตาอุดตัน ถุงน้ำตาที่ระบายน้ำตาลงจมูกอาจอักเสบและติดเชื้อ ทำให้เกิดตุ่มบวมเจ็บใต้เปลือกตาด้านใน อาการที่พบบ่อยคือ ปวดตา ตาแดง ตาแฉะ มีขี้ตาเยอะ และตามัว มีแผลที่กระจกตา แผลที่กระจกตาคือการติดเชื้อคล้ายหนองที่กระจกตา ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อการมองเห็น มักเกิดจากการบาดเจ็บที่ตา หรือการติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษา หากไม่ได้รับการรักษาทันที อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ อาการที่พบ ได้แก่ ปวดตา ตาแดง เปลือกตาบวม และมีขี้ตาเยอะ หนองในตาอาจรุนแรงจนทำให้กระจกตาขุ่นมัว และการมองเห็นลดลง บาดเจ็บที่ตา หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา เช่น ฝุ่นผง เศษผง หรือสารเคมี หรือมีการบาดเจ็บที่ตา ร่างกายจะตอบสนองด้วยการผลิตขี้ตาเหลวๆ ออกมา เพื่อปกป้องดวงตาตามธรรมชาติ แต่หากมีหนองในตา หรือมีเลือดออกในตาหลังจากการบาดเจ็บ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที เพราะการบาดเจ็บที่ตาถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ใส่คอนแท็กต์เลนส์ หากใส่คอนแท็กต์เลนส์แล้วมีขี้ตามากกว่าปกติ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ติดเชื้อที่ตาจ ตาแห้งและระคายเคือง หรือขยี้ตาบ่อยขึ้น หากมีขี้ตาเยอะขึ้นขณะใส่คอนแท็กต์เลนส์ ควรหยุดใส่ทันที และปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการผิดปกติ     ขี้ตาเยอะผิดปกติ มีลักษณะอย่างไร ขี้ตาเยอะผิดปกติเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของดวงตา สามารถสังเกตได้ดังนี้ ขี้ตามีลักษณะข้น เหนียว และมีสีเขียวหรือเหลืองเข้ม ขี้ตาเยอะจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้ มีขี้ตาพร้อมกับอาการน้ำตาไหลออกมามาก มองเห็นไม่ชัดเพราะขี้ตาเยอะ ขี้ตาเยอะ ร่วมกับอาการตาบวมหรือตาแดง ตาแพ้แสง มองแสงจ้าไม่ได้     ขี้ตาเยอะในเด็ก เกิดจากอะไรได้บ้าง? หากลูกมีขี้ตาเยอะ อาจเกิดจากโรคตาแดง โดยเริ่มจากอาการคันตา ขยี้ตาบ่อย ตาแดงชัดเจน มีขี้ตา น้ำตาไหล กระพริบตาบ่อย เจ็บตา และมีขี้ตามาก ทั้งสีขาว เหลือง หรือเขียว ทำให้ลืมตาได้ลำบากตอนเช้า เปลือกตาบวมแดง อาจเริ่มที่ตาข้างเดียวแล้วลามไปอีกข้าง     วิธีรักษาขี้ตาเยอะตามสาเหตุ ขี้ตาเยอะผิดปกติอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพตาที่แตกต่างกัน การรักษาที่ถูกต้องขึ้นอยู่กับสาเหตุ เพื่อดูแลดวงตาได้อย่างเหมาะสม มาดูวิธีรักษาตามสาเหตุ ดังนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อรักษาอาการแพ้และอาการตาแห้ง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง หากขี้ตาเยอะจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะ ยาป้ายตาหรือยาหยอดตา เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและลดโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อน ควรล้างมือให้สะอาดก่อนใช้ยาทุกครั้ง สวมใส่แว่นตาแทนการใส่คอนแท็กต์เลนส์จนกว่าอาการขี้ตาเยอะจะดีขึ้น เพื่อลดการระคายเคืองและป้องกันการติดเชื้อ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นแล้วประคบลงบนเปลือกตา เพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากปัญหาสุขภาพตา     การป้องกันและดูแลดวงตาให้ห่างไกลปัญหาขี้ตาเยอะ ดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางและสำคัญ จึงควรดูแลรักษาดวงตาให้สะอาดและมีสุขภาพดี เพื่อป้องกันปัญหาขี้ตาเยอะและโรคตาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น มาดูกันว่าเราจะสามารถป้องกันและดูแลดวงตาได้อย่างไรบ้าง ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขยี้ตา เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการแพร่กระจายของเชื้อโรค เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดี ควรเลือกใช้น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย ก่อนใส่คอนแท็กต์เลนส์ต้องล้างมือให้สะอาด ตรวจสอบว่าเลนส์สะอาดและผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว เปลี่ยนตลับคอนแท็กต์เลนส์บ่อยๆ และเปลี่ยนคอนแท็กต์เลนส์เมื่อหมดอายุ เพื่อลดเชื้อโรคและสิ่งสกปรก หากมีปัญหาสุขภาพตา ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม สรุป ขี้ตาเยอะเกิดจากการสะสมของเมือก น้ำมัน เซลล์ผิวหนัง และฝุ่นที่สะสมในขณะนอนหลับ หรือจากการติดเชื้อและระคายเคือง การรักษาและป้องกันสามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาดดวงตา หลีกเลี่ยงการสัมผัสตา และหากมีอาการผิดปกติจนส่งผลกระทบกระจกตา ควรเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมที่ศูนย์รักษากระจกตาโรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ
ศูนย์รักษากระจกตา

อาการงูสวัดขึ้นตาคืออะไร? สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกันไม่ให้ลุกลาม

งูสวัดขึ้นตาคือการติดเชื้อไวรัสงูสวัดที่ลามไปยังดวงตา อาการของงูสวัดที่ตา ได้แก่ ปวดตา ตาแดง ตามัว ผื่นรอบดวงตา น้ำตาไหล และอาจมีไข้และปวดเมื่อย หากเชื้อลุกลาม อาจส่งผลต่อเปลือกตา กระจกตา ม่านตา และจอประสาทตา การรักษางูสวัดขึ้นตาใช้ยาต้านไวรัส เช่น Acyclovir และยาสเตียรอยด์เพื่อบรรเทาอาการอักเสบ การป้องกันสามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนงูสวัด และรักษาภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง หากมีอาการน่าสงสัยเกี่ยวกับงูสวัดขึ้นตา ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างเหมาะสมโดยเร็วที่สุด งูสวัดขึ้นตาคืออาการที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อดวงตาและอาจนำไปสู่ปัญหาทางสายตาได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที มารู้จักอาการ สาเหตุ วิธีการรักษา และการป้องกันไม่ให้อาการลุกลาม     อะไรทำให้เกิดงูสวัดขึ้นตา? งูสวัดขึ้นตาหรือ Herpes zoster ophthalmicus เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสที่เคยติดเชื้อได้หมด เชื้อจึงแฝงตัวอยู่ในปมประสาทคู่ที่ 5 ซึ่งเชื่อมโยงกับดวงตา ภาวะนี้พบได้ประมาณ 10-25% ของผู้ที่เป็นโรคงูสวัดทั้งหมด     ลักษณะของอาการงูสวัดขึ้นตา อาการของงูสวัดขึ้นตาทำให้ปวดตา ตาแดง ตามัว ผื่นรอบดวงตา น้ำตาไหล อาจมีไข้และปวดเมื่อย อาการมักรุนแรงกว่างูสวัดบริเวณอื่น หากเชื้อลุกลาม อาจส่งผลต่อดวงตา เปลือกตา กระจกตา ม่านตา และจอประสาทตา ดังนี้ ดวงตาอักเสบจากงูสวัดขึ้นตา ผื่นและตุ่มน้ำมักปรากฏตามเส้นประสาทรอบดวงตา และจะกลายเป็นสะเก็ดภายใน 5-6 วัน หากตุ่มน้ำลามถึงปลายจมูก งูสวัดที่ตาอาจทำให้เกิดการอักเสบในลูกตา ซึ่งอาจส่งผลต่อเปลือกตา เยื่อบุตา ตาขาว กระจกตา ช่องหน้าลูกตา เส้นเลือดที่เลี้ยงประสาทตา น้ำวุ้นตา จอประสาทตา ขั้วประสาทตา และเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อตา งูสวัดที่ตาทำให้เปลือกตาและเยื่อบุตาขาวอักเสบ เปลือกตาอักเสบจากงูสวัดขึ้นตาที่พบได้บ่อย อาจทำให้หนังตาตกจากอาการบวมและอักเสบ ตุ่มน้ำรอบเปลือกตาเมื่อหายแล้วอาจเหลือรอยแผลเป็น ส่วนเยื่อบุตาอาจมีอาการแดงและบวมได้ กระจกตาชั้นเนื้อเยื่อบนสุดอักเสบจากงูสวัดขึ้นตา ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสงูสวัดที่ตามักพบอาการกระจกตาชั้นเนื้อเยื่อบนสุดอักเสบในช่วงแรกหลังผื่นขึ้นที่ผิวหนัง โดยอาการมักหายเองภายในไม่กี่วัน โดยจะมีลักษณะเป็นเส้นแตกกิ่งหรือจุดๆ บนผิวกระจกตา กระจกตาชั้นกลางอักเสบจากงูสวัดขึ้นตา จุดขาวๆ บนกระจกตาชั้นกลางที่เกิดจากการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อ อาจเกิดขึ้นและเป็นๆ หายๆ พบในประมาณ 5% ของผู้ป่วย มักเกิดในช่วงที่ผื่นแดงและตุ่มน้ำเริ่มแห้ง รอยจากงูสวัดขึ้นตานี้คล้ายกับการอักเสบของกระจกตาจากไวรัสเริม การอักเสบนี้มักตอบสนองดีต่อยาหยอดตากลุ่ม Corticosteroid แต่บางครั้งอาจเรื้อรังและต้องค่อยๆ ลดการใช้ยา อาการอักเสบในช่องหน้าลูกตาและม่านตาจากงูสวัดที่ตา การอักเสบที่ม่านตาและช่องหน้าลูกตาจากงูสวัดที่ตาอาจทำให้ตามัวได้ โดยมักไม่รุนแรง แต่บางครั้งอาจทำให้เกิดความดันตาสูงระหว่างการอักเสบ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในส่วนหน้าหรือส่วนหลังของดวงตา จอประสาทตาและขั้วประสาทตาอักเสบจากงูสวัดขึ้นตา การอักเสบที่จอประสาทตาจากงูสวัดที่ตาถือเป็นภาวะรุนแรงที่โรคมีการดำเนินเร็ว โดยเชื้อไวรัสสามารถทำให้เกิดรอยขาวที่จอประสาทตา พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยโรคเอดส์ และอาจนำไปสู่การลอกของจอประสาทตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวร ส่วนภาวะขั้วประสาทตาบวมก็เป็นอีกหนึ่งอาการที่อาจพบได้เช่นกัน ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นงูสวัดที่ตา ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้มักมีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไปในการเกิดอาการงูสวัดที่ดวงตา ผู้ที่มีอายุมากมักเสี่ยงต่อการเป็นงูสวัด เนื่องจากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 50-60 ปี ผู้ที่เป็น Hutchinson’s sign คือผื่นงูสวัดที่ลามถึงข้างจมูก ซึ่งเป็นแขนงของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 การติดเชื้อในบริเวณนี้สามารถลุกลามไปถึงดวงตาได้ ผู้ที่เป็นโรคเอดส์ เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอจึงเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสงูสวัด ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อไวรัสได้ดีเท่าที่ควร     การดูแลและรักษางูสวัดขึ้นตา การดูแลและรักษางูสวัดที่ตาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นถาวร ซึ่งวิธีการรักษามีดังนี้ หลังผื่นขึ้นใน 72 ชั่วโมง ควรใช้ยา Acyclovir 800 มิลลิกรัม วันละ 5 ครั้ง นาน 7-10 วัน หรือใช้ Valacyclovir 1 กรัม หรือ Famciclovir 250-500 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง เพื่อลดความรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อที่ดวงตาและลดอาการปวดเส้นประสาท ยาหยอดตาจักษุแพทย์อาจพิจารณาให้ยาหยอดตากลุ่มสเตียรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบของกระจกตาหรือในกรณีที่มีภาวะม่านตาอักเสบ     ผลกระทบจากการไม่รักษางูสวัดขึ้นตา หากไม่รีบรักษางูสวัดขึ้นตา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อการมองเห็นและสุขภาพดวงตาได้ เช่น แผลเรื้อรังที่กระจกตา อักเสบเรื้อรังที่ช่องหน้าลูกตา อัมพาตของเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อตา ปวดตามเส้นประสาทที่เลี้ยงลูกตา แผลเป็นที่เปลือกตาทำให้เปลือกตาผิดรูป แผลเรื้อรังจากการเสื่อมของเส้นประสาทที่เลี้ยงกระจกตา ความรู้สึกที่กระจกตาลดลง ส่งผลให้น้ำตาลดลง แผลเรื้อรังอาจทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มเติม กระจกตาอาจบางลงจนทะลุได้     วิธีป้องกันและลดโอกาสเป็นโรคงูสวัด การป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคงูสวัด โดยเฉพาะในกรณีที่อาจลุกลามไปถึงตาจนเป็นงูสวัดที่ตานั้นสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ รับประทานอาหารให้หลากหลายและมีประโยชน์ นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสัมผัสผื่นและตุ่มของผู้ป่วยงูสวัด วัคซีนงูสวัดลดความเสี่ยงการเกิดโรคได้จริงไหม? การฉีดวัคซีนงูสวัดเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องและผู้สูงอายุ เนื่องจากวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคสูงถึง 97% ช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดโอกาสการเกิดโรคซ้ำได้ สรุป งูสวัดขึ้นตาคือการติดเชื้อไวรัสงูสวัดที่ลามไปยังดวงตา ทำให้เกิดอาการปวดตา ตามัว หรือเจ็บรอบดวงตา บางครั้งมีผื่นที่เปลือกตาและรอบดวงตา ซึ่งเชื้อที่เข้าตาอาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ม่านตา และเส้นประสาทที่เกี่ยวข้อง หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวรหรือเกิดปัญหาทางสายตาอื่นๆ ได้ หากมีอาการน่าสงสัยควรเข้ารับการรักษาที่Bangkok Eye Hospitalเพื่อการดูแลที่เหมาะสม
ศูนย์รักษากระจกตา

สัญญาณเยื่อบุตาอักเสบแบบไหนที่ควรพบแพทย์? กับวิธีรักษาที่ควรรู้

เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยและอาจเกิดขึ้นได้กับทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นจากการติดเชื้อ แพ้ หรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ อาการของเยื่อบุตาอักเสบอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตา แสบตา หรือมีขี้ตาผิดปกติ บทความนี้พามาสังเกตสัญญาณเตือน ที่บอกว่าเยื่อบุตาอักเสบอาจรุนแรงและต้องพบแพทย์โดยด่วน พร้อมข้อควรปฏิบัติและวิธีรักษาที่ถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ เยื่อบุตาอักเสบคือการอักเสบของเยื่อบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาส่วนหน้าและด้านในของเปลือกตา ติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำตาที่ปนเปื้อนเชื้อ ไม่ใช่ผ่านการมอง อากาศ หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน สาเหตุจากเชื้อไวรัสอาจทำให้มีอาการเจ็บคอ ไข้สูง และหายใจเหนื่อย พบบ่อยในเด็กเล็กที่ชอบหยิบจับสิ่งของแล้วขยี้ตา หรือสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียที่มักจะแพร่กระจายผ่านการสัมผัสตาหรือสิ่งที่มีเชื้อปนเปื้อน ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างสารเคมีในเครื่องสำอาง น้ำยาล้างคอนแท็กต์เลนส์ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ภูมิแพ้ฝุ่น PM2.5 ควันพิษ และแว่นตาที่ไม่สะอาด วิธีรักษาเยื่อบุตาอักเสบสามารถทำได้โดยการหยอดน้ำตาเทียม ใช้ยาแก้แพ้ ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสตามสาเหตุ แล้วพักการใช้สายตา งดขยี้ตา และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและคอนแท็กต์เลนส์ วิธีป้องกันทำได้ด้วยการล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย งดใช้สิ่งของร่วมกัน ไม่ใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตาและใบหน้า เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) คืออะไร? เนื้อเยื่อบุตาอักเสบ หรือ Conjunctivitis คือการอักเสบของเยื่อบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาส่วนหน้าและด้านในของเปลือกตา การติดต่อเกิดจากการสัมผัสน้ำตาผ่านมือหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อแล้วไปสัมผัสตา แต่ไม่ติดต่อผ่านการมอง อากาศ หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน มักระบาดในฤดูฝนตามชุมชนที่มีคนอยู่รวมกัน เช่น โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก ที่ทำงาน และสระว่ายน้ำ พบได้ทุกช่วงอายุ โดยระบาดในเด็กได้ง่ายกว่าเพราะขาดความรู้ในการป้องกัน อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้     อาการที่สังเกตได้ของเยื่อบุตาอักเสบ อาการของโรคนี้จะปรากฏหลังสัมผัสเชื้อทางตา 1 - 2 วัน โดยเยื่อบุตาจะเกิดการอักเสบ บวม เคืองตา น้ำตาไหล เจ็บตา และมีขี้ตามาก ซึ่งอาจเป็นเมือกใสหรือสีเหลืองอ่อนหากมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย มักเป็นที่ตาข้างใดข้างหนึ่งก่อนแต่มักแพร่ไปอีกข้างได้ง่าย อาการจะรุนแรงในช่วง 4 - 7 วันแรก และหายได้เองภายใน 7 - 14 วัน การรักษาเน้นตามอาการและป้องกันการแพร่เชื้อ โดยใช้ยาปฏิชีวนะหากมีขี้ตามาก และยาลดไข้หรือยาแก้ปวดหากมีอาการทางระบบ สาเหตุของภาวะเยื่อบุตาอักเสบ โรคเนื้อเยื่อบุตาอักเสบมีสาเหตุที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ดังนี้     ติดเชื้อไวรัส อาการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะเชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) มักทำให้เกิดอาการเจ็บคอ ไข้สูง และบางครั้งมีอาการหายใจเหนื่อย สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ชอบหยิบจับสิ่งของรอบตัว เชื้อจะติดมากับมือแล้วเด็กอาจเผลอสัมผัสบริเวณใบหน้าหรือขยี้ตา ทำให้เด็กเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบได้ง่ายและพบบ่อยกว่าในผู้ใหญ่     ติดเชื้อแบคทีเรีย การเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) และสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus Pneumoniae) ก่อให้เกิดโรคเยื่อบุตาอักเสบได้ โดยแพร่กระจายผ่านการสัมผัสตาหรือสิ่งที่มีเชื้อปนเปื้อน ผู้ที่สัมผัสน้ำมูกหรือน้ำตาจากผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ยังรวมถึงการสัมผัสสารเคมีในเครื่องสำอางหรือน้ำยาล้างคอนแท็กต์เลนส์ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย ภาวะภูมิแพ้โดยเฉพาะต่อฝุ่น PM2.5 และสภาพแวดล้อมที่มีควันหรือการใช้แว่นตาที่ไม่สะอาด อาการที่พบได้แก่ ตาแดง ตามัว ตามีขี้ตา และการระคายเคืองในตา เยื่อบุตาอักเสบหายเองได้ไหม ใช้เวลานานเท่าไร เยื่อบุตาอักเสบหายเองได้ไหม? กรณีที่เกิดจากไวรัสมักหายได้เองภายใน 7 - 14 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่หากมีสาเหตุจากแบคทีเรีย อาจจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยให้หายเร็วขึ้นและป้องกันภาวะแทรกซ้อน สำหรับเยื่อบุตาอักเสบที่เกิดจากอาการแพ้ สภาวะจะดีขึ้นเมื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และใช้ยาต้านฮีสตามีนตามคำแนะนำของแพทย์     เยื่อบุตาอักเสบมีวิธีการรักษาอย่างไร วิธีการรักษาเยื่อบุตาอักเสบสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ การหยอดน้ำตาเทียมเพื่อช่วยลดการระคายเคืองตา การใช้ยาแก้แพ้ชนิดรับประทานและยาแก้แพ้หยอดตา ในกรณีที่มีสาเหตุจากเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ หากเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียจะต้องใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตาหรือขี้ผึ้งป้ายตา ในรายที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสจะใช้ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน นอกจากนี้ การรักษาควรทำควบคู่ไปกับการพักใช้สายตา หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือใส่เลนส์สัมผัส รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและคอนแท็กต์เลนส์ชั่วคราว เพื่อป้องกันสิ่งระคายเคืองตาและช่วยให้อาการหายเร็วขึ้นด้วย วิธีป้องกันภาวะเยื่อบุตาอักเสบ วิธีป้องกันโรคเนื้อเยื่อบุตาอักเสบ สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้ หมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำให้สะอาดอยู่เสมอก่อนสัมผัสหรือขยี้ตา หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วยตาแดง และล้างมือทันทีหลังสัมผัส งดใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือหมอน ไม่ใช้มือแคะ แกะ เกา บริเวณดวงตาและใบหน้า หากมีฝุ่นละอองหรือน้ำสกปรกเข้าตา ให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที ระวังไม่ให้แมลงหวี่หรือแมลงวันตอมบริเวณดวงตา ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในช่วงที่มีการระบาดของโรคตาแดง คนกลุ่มไหนมีภาวะเสี่ยงเป็นเยื่อบุตาอักเสบบ้าง? ภาวะเยื่อบุตาอักเสบอาจเกิดได้กับทุกคน แต่จะมีคนบางกลุ่มที่เสี่ยงมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ ดังนี้ เด็กและผู้สูงอายุ เพราะเด็กจะรับเชื้อได้ง่ายจากโรงเรียนซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีคนเยอะ ส่วนผู้สูงอายุมีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอกว่า ผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ผู้ป่วยไข้หวัด ผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ ผู้ที่เปลือกตาอักเสบ อาจมีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำให้เกิดเยื่อบุตาอักเสบได้ ผู้ที่อยู่ในที่มีคนหนาแน่น เช่น บนรถไฟฟ้า ค่ายทหาร และโรงเรียนประจำ     อาการเยื่อบุตาอักเสบแบบไหนที่ควรพบแพทย์ ควรรีบพบแพทย์หากมีอาการเยื่อบุตาอักเสบดังต่อไปนี้ อาการรุนแรงขึ้นแม้จะรักษาด้วยตัวเองแล้ว ปวดตารุนแรงหรือมองเห็นไม่ชัด ขี้ตามีสีเขียว เหลือง หรือเป็นหนองปริมาณมาก มีไข้ร่วมกับอาการตาแดง ตาบวมผิดปกติหรือมีอาการไวต่อแสงอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านดวงตาเพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างถูกต้อง ปลอดภัย ไม่เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายตามมา รักษาเยื่อบุตาอักเสบ ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากอาการเยื่อบุตาอักเสบเสี่ยงอันตราย และเข้าขั้นต้องไปพบแพทย์โดยด่วน แนะนำให้เข้ามาปรึกษาและรักษาอาการเหล่านี้ได้ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยทีมบุคลากรมากความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับดวงตา รวมถึงจุดเด่นต่างๆ ดังนี้ โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป เยื่อบุตาอักเสบคือการอักเสบของเยื่อบางๆ ที่ปกคลุมดวงตาและด้านในของเปลือกตา ซึ่งติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำตาที่ปนเปื้อนเชื้อ ไม่ใช่ผ่านการมอง อากาศ หรืออาหาร มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสที่ทำให้มีไข้ เจ็บคอ หรือเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงสารเคมี ฮอร์โมน ภูมิแพ้ฝุ่น PM2.5 และอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด การรักษาทำได้โดยหยอดน้ำตาเทียม ใช้ยาตามสาเหตุ พักสายตา งดขยี้ตาและใช้เครื่องสำอาง ส่วนการป้องกันคือล้างมือให้สะอาด หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และไม่ใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตา สำหรับคนที่มีปัญหาดวงตา แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

กระจกตาเป็นฝ้า : สาเหตุ วิธีการรักษา และทางเลือกที่ใช่สำหรับคุณ

กระจกตาเป็นฝ้า สาเหตุ วิธีการรักษา และทางเลือกที่ใช่สำหรับคุณ ณ ศูนย์รักษาโรคกระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ กระจกตาเปรียบเสมือนหน้าต่างบานแรกที่แสงจะผ่านเข้าสู่ดวงตา หาก "กระจกตา" เกิดขุ่นมัว การมองเห็นย่อมได้รับผลกระทบ "กระจกตาเป็นฝ้า" เป็นภาวะที่กระจกตาสูญเสียความใส ทำให้มองเห็นภาพมัว ไม่ชัดเจน หรือเห็นภาพซ้อน ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน สาเหตุของกระจกตาเป็นฝ้า กระจกตาเป็นฝ้าอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ได้แก่ การติดเชื้อ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัส ซึ่งอาจเกิดจากการใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ หรือการบาดเจ็บที่กระจกตา แผลที่กระจกตา เกิดจากการบาดเจ็บ การระคายเคืองจากฝุ่นละออง สารเคมี หรือการติดเชื้อ โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคกระจกตาโค้งผิดปกติ (Keratoconus) ทำให้กระจกตาบางและโป่งนูนผิดปกติ ภาวะแทรกซ้อนจากโรคตา เช่น โรคตาอักเสบ การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์หยอดตาเป็นเวลานาน การสัมผัสสารเคมี เช่น สารฟอกขาว กรด ด่าง การขาดวิตามินเอ อาการของกระจกตาเป็นฝ้า มองเห็นภาพมัว อาจเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความขุ่นมัวของกระจกตา เห็นภาพซ้อน ตาแดง ปวดตา เคืองตา น้ำตาไหล แพ้แสง วิธีการรักษากระจกตาเป็นฝ้า การรักษากระจกตาเป็นฝ้าขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรง โดยทั่วไปมีวิธีการรักษาดังนี้ การใช้ยา เช่น ยาหยอดตา ยาป้ายตา เพื่อลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อ หรือรักษาตามสาเหตุ การผ่าตัด การปลูกถ่ายกระจกตา : ในกรณีที่กระจกตาเสียหายมาก การขัดกระจกตาด้วยเลเซอร์ : เช่น PTK การรักษาอื่นๆ เช่น การประคบอุ่น การใส่คอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ ศูนย์รักษาโรคกระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ พร้อมดูแลรักษากระจกตาเป็นฝ้าอย่างครบวงจร ด้วย ทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตา : ประสบการณ์สูง เชี่ยวชาญ พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เทคโนโลยีที่ทันสมัย : เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล ช่วยในการวินิจฉัยและรักษาอย่างแม่นยำ ปลอดภัย เครื่องตรวจวัดความโค้งของกระจกตา (Corneal Topography) เครื่องตรวจวัดความหนาของกระจกตา (Pachymetry) เลเซอร์ Excimer และ เลเซอร์ Femtosecond การดูแลอย่างครบวงจร : ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัย การรักษา การติดตามผล จนกระทั่งหายเป็นปกติ บริการที่สะดวกสบาย : บรรยากาศเป็นกันเอง ใส่ใจทุกขั้นตอน คืนความใสการมองเห็นที่คมชัดให้กับดวงตาที่ศูนย์รักษาโรคกระจกตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่ 02-511-2111  
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

รายชื่อประกันภัย

  บริษัทประกันภัย บริษัท ไทยประกันสุขภาพ จำกัด มหาชน บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ลูม่าแคร์ จำกัด บริษัท บลูเวนเจอร์ ทีพีเอ จำกัด บริษัท เอดับเบิลยู พี เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด Asian Assistance (Thailand) Co., Ltd. APRIL Assistance (Thailand) Co., Ltd. International SOS (Thailand) Co., Ltd. Assist International Services Co., Ltd. บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด มหาชน บริษัท ซัมซุงประกันชีวิต(ประเทศไทย) จำกัด มหาชน  บริษัท Euro-Center (Thailand) Co., Ltd. บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) Europ Assistance (Thailand) Co., Ltd. Henner-GMC :: สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ::  แผนกประสานสิทธิ์ประกัน 02-511-2111 ต่อ 3803, 3804  UR Nurse 02-511-2111 ต่อ 3805
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

Understanding Pterygium: Causes, Symptoms, and Treatment Options

  How people notice and see Pterygium without knowing it is Pterygium   Have you ever looked in the mirror and noticed a small, fleshy growth on the white part of your eye, usually near the nose? It might appear slightly red, or you might feel like something’s stuck in your eye. This growth can slowly creep onto the clear, center part of your eye, known as the cornea, causing discomfort, dryness, or even blurred vision. Many people mistake these signs for simple irritation, dryness, or tired eyes, unaware that they might be dealing with a condition called pterygium.   1. What is Pterygium? Pterygium (pronounced tuh-RIJ-ee-um) is a common eye condition that looks like a triangular or wedge-shaped growth on the eye’s surface. It usually starts small but can slowly expand toward the cornea. Though it might look concerning, it’s not cancerous. For some, it’s just a minor cosmetic issue, but for others, it can cause vision problems or significant discomfort   2. Why does it happen? Pterygium happens mainly due to long-term exposure to UV light from the sun, which is why it’s often called "surfer’s eye." But you don’t have to be a surfer to get it - anyone who spends a lot of time outdoors, especially without proper eye protection, is at risk. Dust, wind, and dry environments can also irritate the eye and contribute to its development. Genetics can play a part, too, as pterygium is more common in certain families. Pinguecula and pterygium are often mistaken for each other. Pinguecula is a yellowish bump on the conjunctiva, while pterygium extends onto the cornea and can affect vision. Proper diagnosis is key.   3. What to do when you notice it? If you spot a growth on your eye or feel persistent discomfort, dryness, or redness, don’t ignore it. Make an appointment with an eye specialist, especially if it’s growing or starting to affect your vision. The doctor can diagnose pterygium with a simple eye exam and discuss whether it needs to be treated right away or monitored over time.   4. Treatment Options Observation and Protection: In mild cases, protecting your eyes from the sun with sunglasses and using lubricating eye drops can help keep symptoms in check. Medication: If the pterygium becomes red and inflamed, doctors may prescribe anti-inflammatory eye drops to reduce irritation.  Surgery: When pterygium grows too large, affects vision, or causes significant discomfort, surgery to remove the growth may be recommended. This involves removing the tissue and often placing a graft (a small piece of your own conjunctiva) to cover the area and reduce the chance of it coming back.   5. Advice from Bangkok Eye Hospital and Next Steps At Bangkok Eye Hospital, our experienced ophthalmologists often see patients who are unsure what’s causing their eye discomfort or unusual growths. It’s essential to address these concerns early to avoid complications. If surgery is necessary, one of the best innovations available today is using fibrin glue during pterygium surgery, which offers many benefits over traditional stitches.     To learn more about how fibrin glue can improve your recovery and comfort, check out our next article on this advanced treatment here. If you’re experiencing symptoms or want a consultation, don’t hesitate to reach out to Bangkok Eye Hospital - our team is here to guide you through every step of your eye care journey.

ที่อยู่

ศูนย์โรคกระจกตา - โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ

10/989 ซ.ประเสริฐมนูกิจ 33 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร 10230

ช่องทางติดต่อ

LINE
calling
ติดต่อเรา :