มุมสุขภาพตา : #NanoRelex

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์เลสิก LASER VISION

lasik-update-2025

  LASIK Update 2025: Is 8-Second Eye Surgery Finally Here? (Bangkok Eye Hospital Reveals All) Are you still relying on glasses or contact lenses in 2025? If you've been waiting for the perfect time for vision correction, that time is now. The world of LASIK has evolved far beyond the procedures you might have heard about. Forget the old fears of blades and long recoveries. The latest 2025 update in laser vision correction focuses on speed, precision, and "no-flap" technology. And yes, you read that right. 8-second surgery is no longer science fiction. What's Wrong With Old LASIK? For years, vision correction has been amazing, but it came with trade-offs. Traditional LASIK: Uses a microkeratome blade to create a "flap" in the cornea, which is lifted so a laser can reshape the tissue underneath. (Source: bangkokeyehospital.com) FemtoLASIK: This was a big step up, offering a "bladeless" option by using a femtosecond laser (instead of a blade) to create the flap. It provided more precision and safety. (Source: bangkokeyehospital.com) The keyword in both? "Flap." While effective, creating a flap carries minor risks and requires a longer healing period. But the 2025 update changes the entire game. The 2025 Breakthrough: SMILE Pro — Vision Correction in 8 Seconds This is the update you’ve been waiting for. The "latest innovation in bladeless LASIK" is SMILE Pro. (Source: bangkokeyehospital.com) Unlike previous methods, SMILE Pro is a "no-flap" procedure. It revolutionizes vision correction by minimizing trauma to the eye. How SMILE Pro Works: Unbelievable Speed: It uses the cutting-edge Carl ZEISS VisuMax 800 laser, which corrects your vision in just 8 seconds per eye. This is 3 times faster than previous procedures, reducing stress and anxiety. No Flap, Tiny Incision: Instead of creating a large flap, the laser creates a tiny "lenticule" (a small piece of tissue) inside the cornea. Gentle Removal: The surgeon removes this lenticule through a microscopic incision of only 2-4 mm. Incredible Benefits: Because there's no flap, the cornea's strength is maintained. This means a faster recovery, a lower risk of post-op dry eyes, and fewer complications. It's the perfect choice for active individuals, athletes, or anyone worried about flap-related wounds. (Source: bangkokeyehospital.com) SMILE Pro is the new gold standard for correcting nearsightedness (myopia) and astigmatism, offering safe, precise, and fast-healing results. The AI-Powered Future: NanoRelex® But the 2025 update doesn't stop there. Bangkok Eye Hospital's Laser Vision LASIK Center also introduces NanoRelex®, the "latest LASIK technology from Switzerland." This is precision vision correction, enhanced with Artificial Intelligence (AI). (Source: bangkokeyehospital.com) AI-Powered Precision: NanoRelex® uses low-energy "nanojoules" and an advanced eye-tracking system for unparalleled precision. Real-Time Safety: It features an intraoperative OCT scan, allowing the surgeon to monitor the procedure in real-time, ensuring it's operating on the correct layer of the cornea safely. Minimally Invasive: Like SMILE Pro, this is a "no-flap" procedure with a tiny 2-3 mm incision. It's described as an "extremely precise" and "safest option" for correcting nearsightedness and astigmatism, offering a quick recovery. (Source: bangkokeyehospital.com) Are You a Candidate for 2025 LASIK? These new technologies are life-changing, but you must be a good candidate. According to Bangkok Eye Hospital, you should: Be 18 years or older. Have had a stable vision prescription for at least one year. Have sufficient corneal thickness. Have no severe eye diseases (like glaucoma or cataracts) or uncontrolled medical conditions. (Source: bangkokeyehospital.com) Don't Wait: 2025 Promotions Are Here! Ready to see the world in high definition? Bangkok Eye Hospital's Laser Vision Center is offering special 2025 promotions for these advanced technologies, but only until November 30, 2025. You can even get a pre-LASIK Eye Evaluation for a promotional price (and it's free if you have the surgery on the same day). The future of vision is here. Stop waiting and find out if 8-second, AI-powered LASIK is right for you.
ศูนย์เลสิก LASER VISION

เทคโนโลยีเลสิคขั้นสูงล่าสุดของ Laser Vision เพื่อการมองเห็นที่คมชัด

Laser Vision ซึ่งเป็นผู้นำด้านการรักษาด้วยเลเซอร์สายตามากว่า 25 ปีในประเทศไทย ขณะนี้ได้ขยายบริการเปิดเป็น Bangkok Eye Hospital พร้อมนำเทคโนโลยี AI และ Robotic ล่าสุดมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยและรักษาปัญหาสุขภาพตาแบบครบวงจรในที่เดียว ขั้นตอนการรักษาด้วยเลเซอร์สายตาที่ Laser Vision ประกอบด้วย Comprehensive Eye Examination: เนื่องจากดวงตาและกระจกตาของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน เราจึงใช้ AI และเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด เพื่อตรวจวิเคราะห์สุขภาพตา สภาพกระจกตา และปัญหาสายตาที่ต้องแก้ไขโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตาและการหักเหแสงจะเป็นผู้ตรวจวินิจฉัยด้วยตนเอง และจะอนุญาตให้รักษาด้วยเลเซอร์เฉพาะในกรณีที่ดวงตาและกระจกตาอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย หากพบว่าไม่เหมาะสมกับการรักษาด้วยเลเซอร์ เรามีทางเลือกการรักษาอื่นๆ ที่เหมาะสมกับสภาพดวงตา หรือในกรณีที่ตรวจพบปัญหาสุขภาพตาอื่นๆ ท่านสามารถรับการรักษาจากจักษุแพทย์เฉพาะทางสาขาอื่นๆ ได้ทันทีที่นี่ วิธีการรักษาสายตาด้วยเลเซอร์ ผลลัพธ์ของการรักษาด้วยเลเซอร์ขึ้นอยู่กับปัญหาสุขภาพตา วิธีการ และเทคโนโลยีที่ใช้ ที่ Laser Vision เรามีเทคโนโลยีการรักษาด้วยเลเซอร์ที่ทันสมัยที่สุด 2 ชนิด คือ NanoRelex และ NanoLASIK ซึ่งเป็นเทคนิคแบบ Bladeless Technique ที่ไม่ต้องใช้ใบมีด ท่านสามารถเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับสภาพกระจกตาและปัญหาสายตาได้ ✅NanoRelex: เป็นเทคนิค SMILE ที่ไม่ต้องเปิดแผลที่กระจกตา มีหลักการทำงานคล้ายกับ ReLExSMILE แต่ใช้เทคโนโลยีที่แตกต่าง ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่คมชัดยิ่งขึ้น ✅NanoLASIK: เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าสายตาสูง หรือกระจกตาบาง เป็นเทคนิคที่เปิดแผลที่กระจกตาเป็นรูปตัว C เพื่อรักษาด้วยเลเซอร์ ช่วยแก้ไขค่าสายตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีขั้นสูงใน NanoRelex และ NanoLASIK ทั้ง NanoRelex และ NanoLASIK ใช้ Ziemer FemtoLDV Platform จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีข้อดีดังนี้ 👁️‍🗨️Nanojoules-powered Femtosecond Laser: ใช้พลังงานต่ำที่สุดในบรรดาเลเซอร์ Femtosecond 👁️‍🗨️AI Technology: ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการรักษา และให้ผลลัพธ์ที่คมชัดยิ่งขึ้น 👁️‍🗨️Real-Time OCT Scan: ช่วยให้แพทย์เห็นข้อมูลสำคัญแบบเรียลไทม์ เพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ลดโอกาสการเกิดแสงฟุ้งกระจายหลังผ่าตัด เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะตาแห้ง แสงฟุ้งกระจาย และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ฟื้นตัวเร็วขึ้น AI ยังช่วยเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็วในการรักษา และให้ผลลัพธ์ที่คมชัดยิ่งขึ้น ทำไมต้องเลือก Bangkok Eye Hospital? ℹ️ก่อตั้งและบริหารงานโดยจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตาและการหักเหแสง ที่มีประสบการณ์มากกว่า 26 ปีในประเทศไทย ให้บริการรักษาโรคตาแบบครบวงจร ทั้ง LASIK, ต้อกระจก, ต้อหิน, จอประสาทตา, ศัลยกรรมตกแต่งเปลือกตา และโรคทางระบบประสาทตา ℹ️มีประสบการณ์รักษาด้วยเลเซอร์มากกว่า 90,000 เคส รวมถึงเคสที่ซับซ้อน มั่นใจได้ในความปลอดภัย ℹ️ใช้เทคโนโลยี AI และ Robotic ล่าสุด ช่วยให้การตรวจวินิจฉัยรวดเร็ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ℹ️มีที่ปรึกษาชาวเมียนมาร์คอยให้คำแนะนำ และดูแลตลอดการรักษา (โดยไม่มีค่าใช้จ่าย) เพื่อให้คนไข้ชาวเมียนมาร์ได้รับความสะดวกสบาย ℹ️ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีคนไข้ชาวเมียนมาร์กว่า 400 คน ที่เข้ารับการรักษาด้วย NanoRelex และ NanoLASIK และมีคนไข้จำนวนมากที่เข้ารับการรักษาโรคตาอื่นๆ "เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการมองเห็น นัดหมายวันนี้" ติดต่อ 📲Viber, Whatsapp (In-House Myanmar Consultant): +66965426179 🗨️ส่งข้อความ: https://bit.ly/laservisionmyanmarofficialpage
ศูนย์เลสิก LASER VISION

NanoRelex และ LASIK วิธีรักษาภาวะสายตาผิดปกติทั้งสองวิธี มีความแตกต่างกันอย่างไร?

ในปัจจุบัน ทางเลือกในการรักษาภาวะสายตาผิดปกติด้วยการผ่าตัดในประเทศไทยมีด้วยกันหลายวิธี ซึ่งในแต่ละวิธีต่างมีความเหมาะสมต่อการรักษาปัญหาทางด้านสายตาของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาภาวะสายตาที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมสูงก็คงหนีไม่พ้น การผ่าตัดแก้ปัญหาภาวะสายตาผิดปกติ ด้วยวิธีการทำ LASIK และวิธีการผ่าตัดรูปแบบใหม่ NanoRelex บางคนอาจจะเคยได้ยินผ่าน ๆ กันมาบ้างแล้ว แต่ในบทความนี้ Laser Vision จะช่วยอธิบายให้เข้าใจกันมากขึ้นเอง ภาวะสายตาผิดปกติ คืออะไรและมีกี่ประเภท? ก่อนที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการรักษาภาวะสายตาผิดปกติยอดนิยม อย่างการทำ LASIK และวิธีการรักษาแบบใหม่ NanoRelex ทั้งสองวิธีมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เราอยากให้ทุกคนทราบกันเสียก่อนว่า อาการภาวะสายตาผิดปกติ คืออะไร? ภาวะสายตาผิดปกติ คือภาวะเกี่ยวกับปัญหาการมองเห็นทางสายตาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยปกติการมองเห็นของคนเรา เกิดจากการที่แสงไปตกกระทบที่บริเวณผิวกระจกตา แล้วเกิดการหักเหโฟกัสไปที่จอประสาทตาพอดี ภาพที่เห็นจึงมีความคมชัดทั้งในระยะใกล้และระยะไกล ถือเป็นภาวะสายตาทั่วไป แต่หากความโค้งของกระจกตา หรือความยาวของลูกตามากหรือน้อยจนเกินไป จะทำให้ภาพที่ได้ไม่คมชัด เรียกว่าภาวะสายตาผิดปกติ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ภาวะสายตาสั้น ภาวะสายตายาว ภาวะสายตาเอียง และภาวะสายตายาวในผู้สูงอายุ LASIK คือวิธีการรักษาอย่างไร? การรักษาภาวะสายตาผิดปกติได้ทุกประเภท ด้วยการผ่าตัดโดยใช้ใบมีด Microkeratome แยกชั้นกระจกตาออกให้ได้ความหนาประมาณ 100 ถึง 120 ไมครอน เปิดกระจกตาทิ้งไว้ (ประมาณ 3 ถึง 5 นาที) จากนั้นจึงใช้ Excimer Laser ยิงไปลงบริเวณกระจกตา เพื่อช่วยในการปรับความโค้งกระจกตาให้เหมาะสม ให้ได้ค่าสายตาตามที่ต้องการแก้ไข แล้วจึงปิดกระจกตากลับเข้าที่เดิม ซึ่งไม่ต้องเย็บแผลปิด เพราะชั้นกระจกตาจะสมานเข้ากันเองตามธรรมชาติในภายหลัง NanoRelex คือวิธีการรักษาอย่างไร? NanoRelex คือทางเลือกใหม่ในการรักษาภาวะสายตาผิดปกติ ด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของการทำเลสิก ได้แก่ Femtosecond Laser ที่มีความแม่นยำสูงในการปรับแต่งเนื้อเยื่อกระจกตา และนำเนื้อเยื่อกระจกตาส่วนเกินออกมาผ่านทางแผลขนาดเล็กเพียงแค่ 2 ถึง 3 มิลลิเมตร เพื่อปรับความโค้งกระจกตาให้เหมาะสม เนื่องจากวิธี NanoRelex นั้นเป็นการทำเลสิกไร้ใบมีดแบบแผลเล็ก ทำให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดรู้สึกเบาสบายตาขณะผ่าตัด มีการรบกวนกระจกตาน้อย กระจกตาหลังผ่าตัดจึงมีความแข็งแรง เป็นวิธีการรักษาที่พัฒนาขึ้นมาใหม่จากการทำเลสิกอีกที เปรียบเทียบข้อแตกต่างของการทำ LASIK และ NanoRelex ให้เห็นภาพกันชัดเจนมากขึ้น การทำ LASIK ●       ใช้ใบมีด Microkeratome ที่มีความคมในการผ่าเปิดชั้นกระจกตา ขนาดแผลหลังผ่าตัดจะมีความยาวประมาณ 20 มิลลิเมตร ●       สามารถรักษาภาวะสายตาผิดปกติได้ทุกประเภท เพียงแต่มีข้อจำกัด คือคนที่มีกระจกตาบางหรือไม่สม่ำเสมอ จะไม่สามารถทำเลสิกได้ ●       มีโอกาสเกิดภาวะตาแห้งมากกว่าวิธีการรักษา NanoRelex ●       ค่าใช้จ่ายในการรักษาถูกกว่าวิธีการรักษา NanoRelex แต่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนานกว่า ●       หลังทำ LASIK ต้องปิดฝาครอบตา 1 คืน เพื่อป้องกันการขยี้ตา ●       ต้องใช้เวลาในปรับค่าสายตาประมาณ 1 ถึง 4 สัปดาห์ ค่าสายตาจึงจะกลับมาเห็นได้ชัด การทำ NanoRelex ●       วิธีการทำเลสิกแบบใหม่ที่พัฒนามาจากการทำ LASIK ดั้งเดิม เป็นการทำเลสิกไร้ใบมีด ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ Femtosecond Laser ที่มีความแม่นยำสูง ขนาดแผลหลังทำจึงมีความยาวแค่ 3 ถึง 5 มิลลิเมตร ●       ไม่มีการแยกชั้นกระจกตาด้วยใบมีด จึงไม่มีความเสี่ยงในการเกิดปัญหากระจกตาเคลื่อนตามมาในภายหลัง ●       แทบไม่มีอาการเคืองตาหรือปวดตาหลังทำเลย ●       โอกาสเกิดภาวะตาแห้งน้อยมาก ●       สามารถใช้รักษาเพื่อลดภาวะแสงฟุ้งตอนกลางคืนได้ด้วย ●       ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงกว่าวิธีการทำ LASIK ●       NanoRelex มีข้อจำกัด สามารถใช้รักษาภาวะสายผิดปกติ ได้เฉพาะแค่ภาวะสายตาสั้น และสายตาเอียงเท่านั้น ●       ต้องใช้เวลาในปรับค่าสายตาประมาณ 1 ถึง 4 สัปดาห์ ค่าสายตาจึงจะกลับมาเห็นได้ชัด   วิธีการรักษาภาวะสายตาผิดปกติทั้งสองวิธีต่างมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ภาวะค่าสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียงที่สามารถรักษาได้ ระยะเวลาในการพักฟื้น ค่าใช้จ่าย รวมถึงข้อจำกัดด้านสุขภาพตาของแต่ละบุคคลในการรักษา ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาภาวะสายตาผิดปกติ ทุกคนจึงควรพบจักษุแพทย์ เพื่อเข้ารับการประเมินและรับคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับแนวทางในการรักษาที่เหมาะกับตัวคุณโดยเฉพาะ ภาวะสายตาผิดปกติ รักษาให้หายได้อย่างปลอดภัย ที่ Laser Vision   ทุกปัญหาภาวะสายตาผิดปกติสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ เพียงคุณปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการเข้ารับการรักษาที่ถูกต้อง เหมาะสมกับอาการของแต่ละบุคคล โดย Laser Vision International LASIK Center เป็นศูนย์รักษาสายตาอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 25 ปี พร้อมด้วยทีมแพทย์เฉพาะด้านและเครื่องมืออันทันสมัยได้มาตรฐานสากล สามารถดำเนินการรักษาภาวะสายตาผิดปกติได้ทุกประเภท เรามีความชำนาญในทุกแนวทางการรักษาปัญหาด้านสายตา ทั้งการทำ LASIK และการทำ NanoRelex อีกทั้งเรายังเป็นผู้บุกเบิกวิธีการรักษา NanoRelex แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยอีกด้วย ปรึกษาเพิ่มเติม โทร 02-511-211
ศูนย์เลสิก LASER VISION

เตรียมตัวก่อนทำเลสิก NanoRelex ต้องทำอย่างไรบ้าง

เตรียมตัวก่อนทำเลสิก NanoRelex ต้องทำอย่างไรบ้าง ใครที่กำลังสนใจทำเลสิกด้วยเทคโนโลยี NanoRelex ของทาง Laser Vision อยู่ละก็ทางมาอ่านบทความนี้ได้เลย    เพราะ Laser Vision ได้รวบรวมข้อมูลทั้งหมดในการเตรียมตัวก่อนทำเลสิกมาให้คุณไว้แล้ว มาดูสิว่าต้องทำอย่างไรบ้าง   อย่างแรก เดินทางมาที่คลินิก Laser Vision เพื่อพบ และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยดวงตา สุขภาพตาว่ามีลักษณะแบบไหน ปัจจุบันสายตาคุณเป็นอย่างไร เพื่อรับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงจะได้สอบถามข้อมูลต่าง ๆ  และทำความเข้าใจถึงขั้นตอนการทำเลสิกทั้งหมดจากแพทย์ได้เลย   ต่อมาการเตรียมตัวก่อนวันมาทำเลสิก NanoRelex ที่เป็นส่วนที่สำคัญมาก ๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพักผ่อนก่อนวันทำเลสิกที่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ควรนอนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงก่อนวันที่มาทำเลสิก เพื่อให้สายตาได้พักผ่อนเต็มที่ ต่อมางดใส่คอนแทคเลนส์อย่างน้อย 7 - 14 วันก่อนวันทำเลสิก งดดื่มแอลกอฮอล์ งดฉีดน้ำหอมและก็ไม่ควรแต่งหน้าในวันที่มาทำเลสิกด้วยนะ และอื่นๆ ตามคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ   อย่างที่สาม ไม่ควรขับรถยนต์มาเอง ควรพาคนในครอบครัว ญาติ เพื่อน ที่สามารถขับรถยนต์มาด้วย เนื่องจากหลังทำเลสิกเสร็จสายตาของคุณจะยังไม่พร้อมใช้งานได้ทันที ต้องมีการใส่ที่ครอบดวงตาเพื่อป้องกันเชื้อโรค ฝุ่น แสงแดด รวมถึงมือของเราที่อาจจะไปสัมผัสโดนบริเวณรอบดวงตานั้นเอง ดังนั้นจึงทำให้ไม่สามารถขับรถยนต์กลับบ้านเองได้     Laser Vision เชื่อว่าเพื่อนๆ เข้าใจเรื่องการเตรียมตัวก่อนทำเลสิกแบบ NanoRelex และบอกเลยว่าไม่ยาก ไม่วุ่นวายแน่นอน หากมีข้อมูล หรือคำถามตรงไหนสามารถโทรสอบถาม Laser Vision ได้เลยนะ      
ศูนย์เลสิก LASER VISION

ทำไมทุกคนถึงเลือก NanoRelex

ทำไมทุกคนถึงเลือก NanoRelex สำหรับคนที่กำลังมองหาการทำเลสิกอยู่ตอนนี้ มักจะเจอโพสต์เกี่ยวกับ NanoRelex ขึ้นมาในหน้า Facebook หรือช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ อยู่บ่อย ๆ แน่เลย โดยเฉพาะ NanoRelex ของ Laser Vision    ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้คนมากมายไม่ว่าจะเป็นคนมีชื่อเสียง คนทั่วไป  จนหลายคนเกิดสงสัยว่า ทำไมทุกคนถึงทำเลสิกด้วยเทคโนโลยี NanoRelex ของ Laser Vision กันนะ วันนี้เราจะบอกทุกคนให้รู้เอง   1.NanoRelex นั้นมีประสิทธิภาพ และ คุณภาพสูง ซึ่งช่วยลดขั้นตอนการทำงานในการผ่าตัด เนื่องจากเทคโนโลยีตัวนี้มีความแม่นยำ และความปลอดภัยที่สูงมาก ลดระยะเวลาและช่วยให้คุณมองเห็นโลกที่สดใสขึ้นเพียงไม่กี่วินาที   2.การฟื้นฟูที่รวดเร็วหลังจากทำเลสิกด้วยเทคโนโลยี NanoRelex  ช่วยให้กระบวนการฟื้นตาจากการทำเลสิกเป็นเรื่องรวดเร็วมากขึ้นในระยะเวลาเพียง 1 วัน ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้รับบริการสามารถทำกิจกรรมประจำวันได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ทำให้การทำเลสิกแบบ NanoRelex ช่วยเรื่องของการประหยัดเวลาได้อย่างดีเยี่ยม   3.ความคุ้มค่าของสุขภาพตา ซึ่งที่ผ่านมาผู้รับบริการมองว่าการทำเลสิกด้วยเทคโนโลยี NanoRelex มีค่าใช้จ่ายที่คุ้มค่า และสมเหตุสมผลมากๆ เมื่อเทียบกับการรักษาตาอื่น ๆ ในระยะยาว   4.สุดท้าย… ผู้ที่เข้ามารับบริการไม่ต้องใช้แว่นตาและคอนแทคเลนส์อีกต่อไป โดยข้อ นี้ถือเป็นเหตุผลหลักหลายคนเลือกการทำเลสิกด้วยเทคโนโลยี NanoRelex เพื่อกลับมามีสายตาที่ดีโดยไม่ต้องใช้แว่นตา และคอนแทคเลนส์อีกต่อไป   ดังนั้นหากใครกำลังพิจารณาเรื่องการทำเลสิกอยู่ตอนนี้ Laser Vision แนะนำว่าควรทำ! เพราะเรื่องสุขภาพตาเรานั้นเป็นสิ่งที่คุ้มค่าต่อการลงทุน  โดนเฉพาะ NanoRelex ของ Laser vision ที่มีเพียบพร้อมด้านเทคโนโลยีการทำเลสิก แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การบริการที่ละเอียดรอบคอบ และใส่ใจทุกรายละเอียด  หากคุณต้องได้ลองมาสัมผัสด้วยตัวเองแล้ว รับรองว่าจะได้เห็นโลกชัดขึ้นต่างจากเดิมแน่นอน  
ศูนย์เลสิก LASER VISION

ใส่แว่นแล้วปวดตา เกิดจากสาเหตุอะไร

ใส่แว่นแล้วปวดตา เกิดจากสาเหตุอะไร เพื่อนๆ ที่ใส่แว่นตาแล้วมีอาการปวดตา จนถึงขั้นปวดหัวหนักกันเลยนั้น หลายคนคงคิดว่าเกิดจากการทำงานหนักนั้นก็เป็นหนึ่งปัจจัยที่ถูกส่วนหนึ่ง แต่เพื่อนๆ อาจจะมองข้ามสิ่งสำคัญ สิ่งนั้นก็คือ “แว่นตา”   วันนี้ Laser Vision จะมาบอกให้ว่าทำไมใส่แว่นตาแล้วรู้สึกปวดตา   1. สภาพของแว่นตา : แน่นอนว่าสภาพแว่นตามีผลกับการมองเห็นของคุณ บางคนคุณภาพแว่นไม่ได้ดีเหมือนเดิม หรือเสื่อมสภาพตามการใช้งาน ทำให้คุณภาพของเลนส์แว่นเสื่อมสภาพ รวมถึงกรอบแว่น ขาแว่นที่ใส่แล้วหลวม ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อสายตาทำให้เวลาใส่แว่นตาแล้วรู้สึกปวดตา   2. นอกจากนี้การเลือกใช้เลนส์แว่นตาไม่เหมาะสมกับสายตาก็เป็นอีกสาเหตุ เช่น ใส่เลนส์แว่นที่น้อยกว่าค่าสายตา หรือมากกว่าค่าสาย รวมถึงคุณภาพของเลนส์ของแต่ละยี่ห้อก็สำคัญ การเลือกเลนส์ที่เหมาะสมและดีส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตาเต็มๆ   3. อีกสิ่งที่ลืมไม่ได้คือ อาการผิดปกติที่สายตา ดังนั้นคุณควรไปตรวจสุขภาพตาประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร หรือใช้งานผิดวิธีไหม และรับคำแนะนำมาเพื่อจะได้นำมาปรับใช้  แต่ถ้าไม่อยากปวดตาจากการใส่แว่นแล้วละก็ Laser Vision แนะนำการทำเลสิกด้วยเทคโนโลยีที่ดีที่สุด NanoRelex ที่มาพร้อมความแม่นยำ และความปลอดภัยสูงสุด ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที โลกที่คุณมองเห็นจะดีขึ้นแน่นอน     4. แต่ที่สำคัญเลยมาก ๆ ก็คือ การตรวจสุขภาพตาประจำปี  โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีปัญหาเรื่องสายตาเช่น คนใส่แว่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง และอื่นๆ ที่ต้องตรวจสุขภาพตาสม่ำเสมอเพื่อให้เรารู้ว่าเป็นอย่างไร เราใช้งานหนักและผิดวิธีไหม เพราะสุขภาพตาเป็นเรื่องที่ไม่ควรเสี่ยง   ส่วนใครไม่อยากใส่แว่น หรือไม่อยากกังวลกับการใช้แว่นแล้วเกิดปัญหา Laser Vision มีทางออก อย่างการทำเลสิกด้วยเทคโนโลยี NanoRelex ที่ทันสมัยที่สุดในเวลานี้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที โลกคุณจะสดใสขึ้นกว่าเดิม
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111