มุมสุขภาพตา : #เตรียมตัวก่อนทำเลสิก

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์เลสิก LASER VISION

สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำเลสิกและขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนทำเลสิก

ข้อดีของเลสิก ได้แก่ การมองเห็นที่ชัดเจนถาวร ไม่ต้องพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ ชีวิตหลังเลสิกคล่องตัวมากขึ้น โอกาสลดการเกิดอุบัติเหตุจากการมองเห็นที่ดีขึ้น ข้อจำกัดของเลสิก ได้แก่ ไม่สามารถทำได้สำหรับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคเบาหวาน สะเก็ดเงิน หรือโรคต้อหิน ต้องงดใส่คอนแท็กต์เลนส์ก่อนการตรวจและผ่าตัด รวมถึงอาจมีอาการตาแห้งในบางกรณี การเตรียมตัวก่อนทำเลสิก ได้แก่ งดใส่คอนแท็กต์เลนส์ก่อนการตรวจและผ่าตัด งดน้ำหอมและเครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตาก่อนวันผ่าตัด ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้เป็นประจำ จัดเตรียมแว่นกันแดดไว้ใส่หลังผ่าตัด ทำเลสิกที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)มีจักษุแพทย์และเทคโนโลยีล้ำสมัยในการดูแลรักษาสายตาอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย รวมถึงการบริการที่ครบวงจรและการดูแลหลังการผ่าตัดที่ดี   การทำเลสิกคือการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง โดยใช้เลเซอร์ปรับรูปทรงกระจกตาให้แสงตกกระทบจุดรับภาพอย่างแม่นยำ ก่อนทำเลสิกควรเตรียมตัวให้พร้อมและตัดสินใจอย่างรอบคอบว่าจะทำเลสิกที่ไหนดี เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ     รู้จักกับการทำเลสิกก่อน เลสิก(LASIK) หรือ Laser in Situ Keratomileusis เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาสายตาที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง โดยใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser) ซึ่งเป็นเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นสั้นในระดับอัลตราไวโอเลต มีคุณสมบัติเฉพาะที่ทำปฏิกิริยากับพื้นผิวที่สัมผัสโดยตรง โดยไม่กระจายออกด้านข้างหรือทะลุผ่านเข้าไปในลูกตา จึงมีความปลอดภัยและแม่นยำสูง หากคุณสงสัยว่าควรเตรียมตัวก่อนทำเลสิกอย่างไร และเลสิกมีกี่แบบ คำตอบคือเลสิกแบ่งออกเป็น 7 แบบ ดังนี้ Photorefractive Keratectomyวิธีนี้ไม่แยกชั้นกระจกตา แต่ลอกผิวกระจกตาชั้นนอกสุดออกก่อน จากนั้นใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer Laser) ปรับความโค้งของกระจกตา และปิดกระจกตาด้วยคอนแท็กต์เลนส์เพื่อช่วยลดอาการระคายเคือง MicrokeratomeLASIKเทคนิคนี้ใช้ใบมีดขนาดเล็กเปิดฝากระจกตา จากนั้นใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ ปรับความโค้งของกระจกตาให้ได้ค่าสายตาที่ต้องการ แล้วปิดกระจกตากลับเข้าที่ Bladeless FemtoLASIKเทคนิคนี้ใช้เลเซอร์ Femtosecond Laser ในการเปิดฝากระจกตา และปรับความโค้งด้วยเอ็กไซเมอร์เลเซอร์โดยไม่ต้องใช้ใบมีด ทำให้การรักษามีความแม่นยำและปลอดภัยมากกว่าแบบใช้ใบมีด ReLEx SMILEเทคโนโลยีที่ใช้เลเซอร์ Femtosecond Laser ที่มีความแม่นยำสูง ไม่ต้องเปิดฝากระจกตา แต่ใช้เลเซอร์ตัดเนื้อกระจกตาเป็นชิ้นเลนส์ แล้วดึงออกผ่านแผลเล็กเพียง 2-4 มม. ซึ่งช่วยลดการรบกวนกระจกตา NanoLASIKเป็นการรักษาสายตาด้วยเลเซอร์ทุกขั้นตอน แยกชั้นกระจกตาด้วย Femtosecond Laser ไม่ใช้ใบมีด ปลอดภัย แม่นยำ เจ็บน้อย NanoRelexใช้ Femtosecond Laser สร้างแผลขนาด 2-3 มม. เพื่อนำชิ้นเนื้อ Lenticule ออก ใช้เวลาผ่าตัดน้อย หลังผ่าตัดช่วยลดอาการตาแห้ง แผลเล็กและกระจกตายังคงแข็งแรง SMILE Proคือเทคโนโลยี Femtosecond Laser รุ่นล่าสุด Visumax 800 โดยสร้างแผ่นเลนส์ติคูล (Lenticule) ใน 8-10 วินาที แล้วนำออกผ่านแผลขนาดเล็ก 2-4 มม. แล้วปรับรูปร่างกระจกตาให้แสงตกยังจอประสาทตาพอดี     การทำเลสิกเหมาะกับใครบ้าง ก่อนตัดสินใจทำเลสิก ควรทราบว่าไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำได้ ซึ่งผู้ที่เหมาะสมสำหรับการรักษาด้วยเลสิกควรมีอายุอย่างน้อย 18 ปี ค่าสายตาคงที่หรือไม่เปลี่ยนแปลงมากกว่า 50 (0.5D) อย่างน้อย 1 ปี รวมถึงควรเตรียมตัวก่อนทำเลสิก โดยมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ จึงจะสามารถทำเลสิกได้อย่างเหมาะสม การทำเลสิกไม่เหมาะกับใคร กลุ่มคนที่ไม่เหมาะกับการทำเลสิก เพราะอาจส่งผลต่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ของการรักษา ได้แก่ ผู้ที่อายุน้อยกว่า 18 ปี ยกเว้นในกรณีที่ต้องการไปสอบเตรียมทหารหรือตำรวจ ซึ่งจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคกลุ่มรูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี (SLE) สะเก็ดเงิน หรือ HIV ผู้ที่เป็นโรคทางจักษุ เช่น ต้อหิน ต้อกระจก ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ผู้ที่เป็นโรคจิตเวชหรือมีภาวะเจ็บป่วยทางจิตที่ยังอยู่ในการดูแลของแพทย์     ข้อดีของการผ่าทำเลสิก ข้อดีที่คนมีปัญหาทางสายตาควรพิจารณาผ่าตัดการทำเลสิก เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ขณะทำการผ่าตัด มีเพียงการหยอดยาชาที่ตา ไม่มีการเย็บแผล จึงไม่รู้สึกเจ็บ ใช้เวลาในการผ่าตัดและการพักฟื้นน้อย แผลสามารถหายได้เร็ว หลังจากผ่าตัด สามารถกลับบ้านได้ทันที ไม่ต้องนอนค้างคืนที่โรงพยาบาล เลสิกสามารถแก้ไขปัญหาความผิดปกติของสายตาให้กลับมามองเห็นชัดเจนได้อย่างถาวร ชีวิตหลังทำเลสิกมองเห็นชัดเจนขึ้น ไม่ต้องใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ มีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น ทำกิจกรรมต่างๆ งานอดิเรก และเล่นกีฬา โดยเฉพาะกีฬาทางน้ำและกีฬากลางแจ้ง ได้โดยไม่ต้องกังวล เมื่อความสามารถในการมองเห็นกลับมาชัดเจน โอกาสในการเกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายต่างๆ จะลดลง ข้อจำกัดของการทำเลสิก ก่อนที่จะตัดสินใจทำเลสิก ควรรู้ข้อจำกัดต่างๆ ที่อาจมีผลต่อผลลัพธ์หลังผ่าตัด เพื่อให้สามารถเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสมและเข้าใจในขอบเขตของการรักษา ดังนี้ ผลข้างเคียงจากการทำเลสิกที่อาจเกิดขึ้นได้ ราคาค่าทำเลสิกค่อนข้างสูง หลังทำเลสิก อาจมีอาการตาแห้งในบางราย จำเป็นต้องดูแลตามคำแนะนำของแพทย์     ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนทำเลสิก เพื่อให้การทำเลสิกเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ควรเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ดังนี้ ศึกษาหาข้อมูลและปรึกษากับแพทย์ เริ่มต้นด้วยการหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่รองรับการทำเลสิกหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้สามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมกับความต้องการได้ รวมถึงพิจารณาถึงคุณภาพ มาตรฐาน และฝีมือของจักษุแพทย์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกสถานที่เข้ารับบริการ   เมื่อเลือกสถานที่แล้ว ให้ทำการนัดหมายเพื่อเข้าพบแพทย์ เพื่อปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น ตรวจวัดสายตาอย่างละเอียด และเลือกวิธีการทำเลสิกที่เหมาะสม รวมถึงวางแผนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เตรียมตัวให้พร้อมก่อนตรวจ ก่อนเข้ารับการตรวจเพื่อทำเลสิก ควรมีการเตรียมตัวเบื้องต้น ดังนี้ หากใส่คอนแท็กต์เลนส์ชนิดนิ่ม ควรถอดออกก่อนเข้ารับการตรวจอย่างน้อย 3 วัน และหากใส่คอนแท็กต์เลนส์ชนิดแข็ง ควรถอดออกก่อนอย่างน้อย 7 วัน หากใช้ยาใดๆ เป็นประจำ ควรแจ้งให้จักษุแพทย์ทราบ ในวันที่มีการตรวจสายตา ควรเตรียมแว่นกันแดดและพาผู้ดูแลมาด้วย เนื่องจากในวันนั้นจะมีการใช้ยาหยอดขยายม่านตา ซึ่งทำให้ตาพร่ามัวและไม่สามารถรับแสงได้ประมาณ 4-6 ชั่วโมง เตรียมตัวให้พร้อมก่อนผ่าตัดทำเลสิก การเตรียมตัวก่อนทำเลสิกเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ผู้เข้ารับบริการควรเตรียมตนเองให้พร้อม ดังนี้ งดใช้น้ำหอม เครื่องสำอาง ครีมบำรุงต่างๆ บริเวณรอบดวงตาก่อนวันผ่าตัด งดการทำผม เช่น การใส่น้ำมันบำรุงผม เจลใส่ผม หรือใช้เครื่องประดับใดๆ งดดื่มชาหรือกาแฟก่อนเข้ารับการผ่าตัด ดูแลและสังเกตร่างกายตนเอง หากพบความผิดปกติ เช่น ตาแดง ไม่สบาย เกิดการเจ็บป่วย เป็นต้น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับการผ่าตัด พกแว่นตากันแดดเพื่อป้องกันดวงตาจากแสงหลังการผ่าตัด     วิธีเลือกทำเลสิก ทำที่ไหนดี สิ่งที่สำคัญกว่าการเตรียมตัวก่อนทำเลสิก คือการเลือกว่าจะทำเลสิกที่ไหนดี? โดยวิธีเลือกโรงพยาบาลสำหรับทำเลสิก เพื่อให้ได้การรักษาที่มีคุณภาพและปลอดภัย ซึ่งควรพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้ มีความเป็นมาตรฐาน สะอาด ปลอดภัย เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาการติดเชื้อหลังการผ่าตัด สถานที่ต้องมีความน่าเชื่อถือในแง่ของการประสานงานและดำเนินการต่างๆ โดยมีความเป็นมืออาชีพ อุปกรณ์ครบครันและทันสมัย โดยเฉพาะในด้านการใช้เทคโนโลยีในการดูแลรักษาและผ่าตัด จักษุแพทย์ควรมีประสบการณ์ และมีใบประกอบวิชาชีพที่ถูกต้อง มีบริการหลากหลายรูปแบบ เพื่อเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับผู้รับบริการ ได้รับคุณภาพและการบริการที่ดี คุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไป สรุป ก่อนทำเลสิกควรเตรียมตัวและรู้ข้อดี เช่น การมองเห็นที่ชัดเจนถาวร ลดการพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ ชีวิตหลังทำเลสิกจะมีความคล่องตัวมากขึ้นเวลาทำกิจกรรมต่างๆ ข้อจำกัดคือไม่สามารถทำได้สำหรับบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ผู้ที่มีโรคเบาหวาน สะเก็ดเงิน หรือโรคต้อหิน ควรงดใส่คอนแท็กต์เลนส์ก่อนการตรวจและผ่าตัด รวมถึงงดน้ำหอมและเครื่องสำอางก่อนวันผ่าตัด การเตรียมตัวต้องปรึกษาแพทย์ และเตรียมแว่นกันแดดไว้ใส่หลังผ่าตัด สำหรับคนที่ต้องการทำเลสิก สามารถมาได้ที่ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)ซึ่งเป็นศูนย์รักษาสายตาผิดปกติที่มีทางเลือกครบครันในการรักษา และเน้นการบริการที่มีประสิทธิภาพ
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111