ย้อนกลับ
ตาบอดสีคืออะไร? รู้จักอาการ สาเหตุ และวิธีทดสอบตาบอดสี
  • ตาบอดสีเป็นภาวะที่ไม่สามารถแยกสีบางสีได้ และสามารถเกิดได้ทั้งจากปัจจัยทางพันธุกรรม อายุ โรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม หรือต้อกระจก
  • แบ่งประเภทของตาบอดสีได้เป็นตาบอดสีแดง-สีเขียว ตาบอดสีน้ำเงิน-สีเหลือง และตาบอดสีทั้งหมด
  • การทดสอบตรวจตาบอดสีสามารถทำได้ด้วย Ishihara Test ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม ด้วยการดูแผ่นกระดาษหลายหน้าที่มีจุดสีที่คนตาบอดสีมักสับสน หากอ่านได้ทั้งหมดหมายความว่ามีสายตาที่ปกติ
  • อาการตาบอดสีส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต เช่น การขับขี่รถยนต์ การประกอบอาชีพบางสายงานอาจมีปัญหาได้ และเกิดปัญหาในการเรียนรู้ได้

 

ตาบอดสีเป็นภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถแยกสีบางสีได้ ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรมหรือปัญหาทางสายตา ทำให้การมองเห็นอาจไม่ได้เต็มไปด้วยสีสันอย่างที่ควรจะเป็น โดยบทความนี้จะพาทำความรู้จักกับตาบอดสี ตั้งแต่สาเหตุ อาการ และวิธีทดสอบ ไปดูกันเลย!

 

ตาบอดสีเกิดจากอะไร?

 

ตาบอดสีเกิดจากอะไร?

ตาบอดสีส่วนใหญ่จะเกิดจากพันธุกรรม โดยถ่ายทอดทางโครโมโซม X จึงพบได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิง จากสถิติพบว่าประมาณ 8% ของประชากรชายอาจมีภาวะตาบอดสี ในขณะที่เพศหญิงพบได้น้อยกว่า นอกจากนี้ โรคตาบอดสียังเกิดจากสาเหตุอื่นได้ เช่น โรคทางตา การบาดเจ็บ หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด ในกรณีนี้จะเป็นอาการตาบอดสีที่ไม่ได้มาจากกรรมพันธุ์ และในกรณีนี้อาจรักษาได้บางส่วน ซึ่งตาบอดสีเกิดจากปัจจัยหลายประการ ดังนี้

 

  • กรรมพันธุ์ เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุด มักเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม อาการที่พบบ่อยคือการมีตาบอดสีเขียวและสีแดง พบในเพศชายประมาณ 7% และเพศหญิง 0.5 - 1%
  • อายุ เพราะการเสื่อมของเซลล์รับสีตามวัยที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อการมองเห็นสี
  • โรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม และต้อกระจก
  • โรคอื่นๆ เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคเบาหวาน หรือโรคพาร์กินสัน
  • สาเหตุอื่นๆ ทั้งจากการบาดเจ็บที่ดวงตา การได้รับสารเคมีเป็นระยะเวลานาน หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด

 

โดยดวงตาสามารถมองเห็นวัตถุและสีต่างๆ ได้ด้วยความร่วมมือของเซลล์รับแสงในจอประสาทตา ประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิดหลัก คือ เซลล์รูปแท่ง (Rod Cells) และเซลล์รูปกรวย (Cone Cells) ซึ่งมีหน้าที่ที่ต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

เซลล์รูปแท่ง (Rod Cells)

เซลล์ชนิดนี้ทำหน้าที่ในการมองเห็นในที่ที่มีแสงสลัวหรือในที่มืด ภาพที่มองเห็นจะเป็นเพียงเฉดขาว ดำ หรือเทา ตามความสว่างของแสงรอบตัว เซลล์รูปแท่งจึงมีความสำคัญอย่างมากต่อการมองเห็นตอนกลางคืน หรือในสถานการณ์ที่มีแสงน้อย

เซลล์รูปกรวย (Cone Cells)

เซลล์ชนิดนี้เป็นตัวที่ทำให้เราสามารถมองเห็นสีต่างๆ ได้ โดยจะทำงานเมื่อมีแสงสว่างมากพอ เซลล์รูปกรวยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามช่วงคลื่นของแสงที่ตอบสนอง ได้แก่ เซลล์รับแสงสีแดง เซลล์รับแสงสีเขียว และเซลล์รับแสงสีน้ำเงิน เมื่อแสงตกกระทบเข้าสู่ดวงตาจะกระตุ้นเซลล์เหล่านี้ให้ส่งสัญญาณไปยังสมอง ซึ่งสมองเหล่านี้ก็จะประมวลผลและผสมผสานสัญญาณต่างๆ เพื่อให้สามารถมองเห็นเป็นสีสันได้หลากหลาย

 

  • กรณีที่มองเห็นสีปกติ เซลล์รูปกรวยทั้ง 3 ชนิดที่รับแสงสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน จะทำงานร่วมกันอย่างสมดุล เมื่อแสงตกกระทบเข้าตาเซลล์เหล่านี้จะถูกกระตุ้นและส่งสัญญาณไปยังสมอง เพื่อประมวลผลออกมาเป็นสีต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ ในภาวะนี้เรียกว่า Trichromatism
  • กรณีที่เซลล์รับสีมีความผิดปกติ ไม่สามารถรับสีได้ครบทั้ง 3 ชนิด หรือมีชุดใดชุดหนึ่งทำงานผิดปกติ ส่งผลให้การรับรู้คลาดเคลื่อนจากคนทั่วไป ภาวะนี้เรียกว่า Dichromatism ผู้ที่มีภาวะนี้มักไม่รู้ตัว เพราะสมองจะปรับการรับรู้สีตามแบบที่ตัวเองเห็นจนรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ
  • กรณีที่รุนแรงมาก จะมีเซลล์รับสีเพียงชนิดเดียว หรือไม่มีเลย ส่งผลให้ไม่สามารถมองเห็นสีใดได้เลย มองเห็นเพียงเฉดขาว ดำ และเทาเท่านั้น ภาวะนี้จะเรียกว่า Monochromatism เป็นภาวะที่พบได้น้อยแต่ส่งผลต่อการมองเห็นและการใช้ชีวิตประจำวัน

 

ระดับความรุนแรงของอาการตาบอดสี

 

ระดับความรุนแรงของอาการตาบอดสี

อาการตาบอดสีสามารถแบ่งตามระดับความรุนแรงออกเป็น 3 ระดับตามความรุนแรง ดังนี้

 

  • ความรุนแรงระดับต่ำ สามารถแยกแยะสีส่วนใหญ่ได้ อาจเห็นสีเพี้ยนไปเล็กน้อย แต่ยังสามารถบอกหรือคาดเดาสีได้ถูกต้อง
  • ความรุนแรงระดับกลาง แยกแยะสีที่คล้ายกันได้ยาก ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน
  • ความรุนแรงระดับสูง กรณีที่รุนแรงที่สุดจะมองเห็นโลกเป็นสีขาว เทา และดำ (Achromatopsia) ซึ่งพบได้น้อยมากและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต

 

ประเภทของตาบอดสีมีอะไรบ้าง?

 

ประเภทของตาบอดสีมีอะไรบ้าง?

หลายคนอาจสงสัยว่าผู้มีอาการตาบอดสีมองเห็นสีอะไรบ้าง โดยตาบอดสีมีหลายประเภท แบ่งตามลักษณะของการเห็นสี ดังนี้

ตาบอดสีแดง-เขียว (Red-green Color Blindness)

ตาบอดสีแดง-เขียว (Red-green Color Blindness) เป็นประเภทที่พบมากที่สุด โดยผู้ที่มีภาวะนี้จะมีปัญหาในการแยกแยะระหว่างสีแดงและสีเขียว ซึ่งลักษณะการมองเห็นของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของเซลล์รูปกรวยในดวงตา

 

  • Protanomaly ผู้ที่มีเซลล์รูปกรวยสีแดงน้อย จะมองเห็นโทนสีแดง สีส้ม และสีเหลืองเป็นโทนสีเขียว
  • Protanopia ผู้ที่ไม่มีเซลล์รูปกรวยสีแดง จะมองเห็นโทนสีแดงเป็นสีดำ
  • Deuteranomaly ผู้ที่มีเซลล์รูปกรวยสีเขียวน้อย จะมองเห็นโทนสีเขียวเป็นโทนสีแดง
  • Deuteranopia ผู้ที่ไม่มีเซลล์รูปกรวยสีเขียว จะมองเห็นโทนสีเขียวเป็นสีดำ

 

ตาบอดสีน้ำเงิน-เหลือง (Blue-yellow Color Blindness)

ตาบอดสีน้ำเงิน-เหลือง (Blue-yellow Color Blindness) เป็นอาการตาบอดสีประเภทที่มักเกี่ยวข้องกับโรคทางสายตาอื่นๆ มากกว่าเกิดจากพันธุกรรม โดยผู้ที่มีภาวะนี้จะมีปัญหาในการแยกสีน้ำเงิน สีเหลือง สีเขียว และสีแดง

 

  • Tritanomaly ผู้ที่มีเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงินน้อย จะมีปัญหาในการแยกสีน้ำเงินกับสีเขียว รวมถึงสีแดงกับสีม่วง
  • Tritanopia ผู้ที่ไม่มีเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงิน จะไม่สามารถแยกแยะโทนสีน้ำเงินและสีเหลืองได้ เช่น สีน้ำเงินกับสีเขียว สีม่วงกับสีแดง และสีเหลืองกับสีชมพู

 

ตาบอดสีทั้งหมด (Complete Color Blindness)

ตาบอดสีทั้งหมด (Complete Color Blindness) หรือเรียกว่า Monochromacy เป็นภาวะที่เซลล์รูปกรวยทั้งหมดในดวงตาไม่ทำงานหรือขาดหายไป ทำให้ผู้ที่มีภาวะนี้พบได้น้อยมากกว่าภาวะอื่นๆ โดยจะมองเห็นทุกสิ่งเป็นโทนสีเทา และอาจสลับสีกัน เช่น ระหว่างสีเขียวกับสีน้ำเงิน สีแดงกับสีดำ หรือสีเหลืองกับสีขาว และในบางรายอาจไวต่อแสงมากกว่าปกติอีกด้วย

 

วิธีทดสอบอาการตาบอดสี

 

วิธีทดสอบอาการตาบอดสี

หากกำลังสงสัยว่าอาจเข้าข่ายเป็นโรคตาบอดสี ลองสังเกตอาการต่อไปนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ของภาวะตาบอดสี

สังเกตอาการด้วยตัวเอง

การสังเกตพฤติกรรมหรือตรวจอาการตาบอดสีเบื้องต้นด้วยตัวเองเป็นเพียงการประเมินเบื้องต้นเท่านั้น สามารถสังเกตอาการได้ดังนี้

 

  • มีความยากลำบากในการแยกแยะสีต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
  • ไม่สามารถจดจำหรือบอกสีได้อย่างถูกต้อง
  • ยังมองเห็นสีได้หลากหลาย แต่สีที่เห็นมีความแตกต่างจากคนทั่วไป
  • การมองเห็นถูกจำกัดเพียงบางโทนสีเท่านั้น
  • ในกรณีที่รุนแรง ภาพที่มองเห็นอาจมีเพียงสีขาว สีดำ และสีเทาเท่านั้น

 

ทดสอบตาบอดสีด้วย Ishihara Test

การทดสอบตาบอดสีด้วย Ishihara Test เป็นวิธีทดสอบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยใช้ในการทดสอบคัดกรองว่ามีภาวะตาบอดสีหรือไม่ ผู้เข้ารับการตรวจจะดูแผ่นภาพหรือแผ่นกระดาษหลายหน้า ซึ่งแผ่นทดสอบจะมีจุดสีที่คนตาบอดสีมักสับสน หากสามารถอ่านและลากเส้นได้ถูกต้องทั้งหมดจะถือว่าการมองเห็นสีเป็นปกติ แต่สำหรับคนตาบอดสีแดงมักจะสับสนระหว่างสีแดงกับสีน้ำเงินอมเขียว หากมีตัวเลขสีแดงบนพื้นสีน้ำเงินอมเขียว ก็อาจมองไม่เห็นตัวเลขบนแผ่นทดสอบที่ซ่อนอยู่

 

ปัญหาคนตาบอดสีกับการใช้ชีวิตประจำวัน

 

ปัญหาคนตาบอดสีกับการใช้ชีวิตประจำวัน

นอกจากตาบอดสีจะเป็นปัญหาในการแยกแยะสีแล้ว แต่ยังส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหลายด้านด้วยกัน ดังนี้

เกิดปัญหาในการเรียนรู้สิ่งใหม่

ผู้ที่มีภาวะตาบอดสี โดยเฉพาะในวัยเด็กยังคงมีความสามารถในการเรียนรู้เหมือนเด็กทั่วไป แต่การรับรู้เรื่องสีมีความผิดเพี้ยน ทำให้คำตอบหรือการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสีจะได้ผลลัพธ์แตกต่างจากคนอื่น หากในการเรียนวิชาอื่นๆ กิจกรรมที่ไม่ได้ใช้สีสันมากนัก ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่แตกต่างกับคนทั่วไป แต่ผู้ที่มีอาการตาบอดสีมักได้รับผลกระทบในวิชาศิลปะ การประเมินพัฒนาการทางภาษา และการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสี

การขับขี่รถยนต์

ตาบอดสีส่งผลกระทบชัดเจนต่อการขับขี่รถยนต์ เนื่องจากต้องสังเกตความแตกต่างของไฟจราจร โดยอาจสังเกตจากความเข้มข้นของสีที่ไม่เท่ากัน หากสามารถแยกแยะได้ก็ขับขี่บนท้องถนนได้อย่างปลอดภัย การทดสอบใบขับขี่จึงต้องมีการประเมินความสามารถในการบอกสัญญาณไฟจราจรและเกณฑ์อื่นๆ เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน

การประกอบอาชีพ

ผู้ที่มีอาการตาบอดสีอาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงบางอาชีพ เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่น ตัวอย่างอาชีพที่ไม่เหมาะกับตาบอดสี เช่น นักบิน ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสารเคมี จิตรกร นักออกแบบกราฟิก เป็นต้น

คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีภาวะตาบอดสี

สำหรับผู้ที่มีภาวะตาบอดสี นอกจากจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้วยังมีคำแนะเพิ่มเติม ดังนี้

 

  • เนื่องจากเป็นอาการที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางป้องกันการเกิดภาวะตาบอดสีในเครือญาติ
  • หากไม่ได้เป็นตาบอดสีแต่กำเนิด แต่กลับมีอาการเกิดขึ้นภายหลัง ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
  • ผู้ที่มีภาวะตาบอดสีสามารถสอบใบขับขี่ได้ โดยต้องแสดงให้เห็นว่าสามารถแยกแยะความแตกต่างของสัญญาณไฟจราจรได้อย่างถูกต้อง

ตรวจตาบอดสีที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร

แนะนำมาตรวจอาการตาบอดสีได้ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยบุคลากรทางการแพทย์มากความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับดวงตา และจุดเด่นดังนี้

 

  • โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
  • เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย
  • พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ
  • ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง

สรุป

ตาบอดสีเป็นภาวะที่ทำให้ไม่สามารถแยกแยะสีบางสีได้ โดยส่วนใหญ่เกิดจากกรรมพันธุ์และพบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อาการตาบอดสีสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท เช่น ตาบอดสีแดง-สีเขียว ตาบอดสีน้ำเงิน-สีเหลือง และตาบอดสีทั้งหมด และภาวะนี้อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การขับรถและการประกอบอาชีพบางอย่าง ซึ่งการทดสอบตาบอดสีสามารถทำได้ด้วย Ishihara Test 

 

หากสงสัยหรือต้องการรับคำแนะนำ การตรวจวินิจฉัยจากจักษุแพทย์ มาที่ Bangkok Eye Hospital ซึ่งมีบริการรักษาอาการและโรคเกี่ยวกับดวงตาทุกประเภท รวมถึงบริการตรวจอาการตาบอดสีอีกด้วย

FAQ – คำถามที่พบบ่อย

 

ตาบอดสีรักษาได้ไหม?

ตาบอดสีไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดจากพันธุกรรม เนื่องจากตาบอดสีเกิดจากเซลล์รูปกรวยมีจำนวนไม่เพียงพอหรือขาดหายไป และปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่ทดแทนเซลล์เหล่านี้ได้

2. ตาบอดสีสามารถสอบใบขับขี่ได้หรือไม่?

ผู้ที่มีภาวะตาบอดสีระดับไม่รุนแรงยังคงสามารถสอบใบขับขี่ได้ โดยจะต้องสามารถสังเกตความเข้ม-อ่อนของสัญญาณไฟจราจรและตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ หากมีปัญหาค่าสายตาร่วมด้วย ก็ยังสามารถวัดสายตา ทำเลสิกเพื่อรักษาสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียงได้เช่นเดียวกัน

3. ผู้หญิงมีภาวะตาบอดสีได้หรือไม่?

ผู้หญิงสามารถมีภาวะตาบอดสีได้ แต่มีโอกาสน้อยมาก เนื่องจากภาวะตาบอดสีแบบพันธุกรรมถูกถ่ายทอดทางโครโมโซม X ซึ่งผู้หญิงมีโครโมโซม X สองตัว หากตัวหนึ่งเป็นโรคตาบอดสี อีกตัวที่ปกติก็จะช่วยควบคุมอาการไม่ให้แสดงออกมา ผู้ชายที่มีโครโมโซม X เพียงตัวเดียวจึงมีโอกาสเป็นตาบอดสีมากกว่าผู้หญิง

calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111