ย้อนกลับ
สาเหตุที่ทำให้ปวดกระบอกตา ปวดเบ้าตา ปวดขมับ ปวดหัว พร้อมวิธีแก้

หากคุณรู้สึกปวดกระบอกตา เบ้าตา หรือขมับ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม อาการเหล่านี้สามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่การใช้สายตานานเกินไป จนถึงการมีปัญหาสายตาหรือความเครียด

โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพจะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ พร้อมกับวิธีการป้องกันและรักษาเพื่อช่วยบรรเทาอาการอย่างมีประสิทธิภาพ


  • อาการปวดกระบอกตาคืออาการปวดตุ๊บๆ หรือรู้สึกถึงแรงกดที่บริเวณดวงตา ซึ่งมักเกิดจากภายในศีรษะด้านหลังตา
  • อาการปวดกระบอกตามักเกิดจากความเครียด การอักเสบของไซนัส ปัญหาการมองเห็น หรือโรคเกี่ยวกับเส้นประสาท เช่น ไมเกรน
  • วิธีแก้ปวดกระบอกตา ได้แก่ การประคบเย็นหรืออุ่น บริหารกล้ามเนื้อตา พักสายตา และใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์
  • ที่ Bangkok Eye Hospital การรักษาอาการปวดกระบอกตาได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยในการวินิจฉัยและรักษาเพื่อความแม่นยำและปลอดภัย

 

อาการปวดกระบอกตาคืออะไร

 

อาการปวดกระบอกตาคืออะไร

ปวดกระบอกตาคืออาการปวดตื้อๆ หรือรู้สึกถึงแรงกดบริเวณดวงตาที่มาจากภายในศีรษะด้านหลังตา ซึ่งมักเกิดจากกล้ามเนื้อรอบดวงตาหรือคอยึดตึง อาการเหล่านี้อาจทำให้รู้สึกตึงที่ดวงตา โดยเฉพาะเมื่อมีการจ้องจอโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน สาเหตุที่พบได้บ่อยคือความเครียด หรือการใช้สายตานานเกินไปจนเกิดอาการปวดหัวร่วมด้วย นอกจากนี้ยังอาจมีอาการปวดเบ้าตาซ้ายหรือปวดเบ้าตาขวา ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาด้านสุขภาพตาหรือปัญหาทางสมองอื่น ๆ ที่ควรได้รับการตรวจสอบจากแพทย์

 

ปวดกระบอกตาและปวดเบ้าตาเกิดจากอะไร?

ปวดกระบอกตาและปวดเบ้าตาเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพทั้งในดวงตาและในระบบต่างๆ ของร่างกาย ดังนี้

โรคไมเกรนและอาการปวดศรีษะ

อาการปวดศีรษะเป็นอาการที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย และสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น ปวดหัว ปวดท้ายทอย ปวดขมับ ปวดหัวบริเวณหน้าผากจากความเครียด หรือปวดหัวข้างขวาข้างเดียวจากไมเกรน นอกจากนี้ยังมีอาการปวดกระบอกตา ซึ่งมักเกิดจากสาเหตุสำคัญ เช่น ไมเกรนหรือการปวดศีรษะทั่วๆ ไป ซึ่งอาการปวดกระบอกตาหรือปวดเบ้าตานี้สามารถเป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้ในคนที่มีอาการปวดหัวบ่อยๆ

กล้ามเนื้อหดเกร็ง

ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดความสับสนเนื่องจากอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณหลังคอหรือท้ายทอย ซึ่งเรียกว่าเส้นคอตึงปวดหัว โดยอาการนี้สามารถส่งผลให้เกิดอาการปวดในบริเวณต่างๆ เช่น คิ้ว กระบอกตา เบ้าตา หน้าผาก ขมับ หรือท้ายทอยได้เช่นกัน

อาการปวดหัวและปวดกระบอกตาที่เกิดจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนนี้ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด การนั่งทำงานในท่าที่ไม่เหมาะสม หรือการที่กล้ามเนื้อตาทำงานหนักเกินไป โดยเฉพาะการจ้องจอเป็นเวลานาน

กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า

ปัญหาที่หลายคนประสบคืออาการกล้ามเนื้อตาล้าจากการใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์หรือจอมือถือเป็นเวลานาน รวมถึงการเล่นเกม ซึ่งมักต้องใช้สายตาจ้องในระยะใกล้ ทำให้กล้ามเนื้อตาต้องทำงานหนัก ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้อตาล้า และอาจนำไปสู่อาการมึนหัวและปวดกระบอกตาได้

ค่าสายตาผิดปกติ

ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้นหรือยาว ทั้งสองประเภทสามารถทำให้เกิดอาการปวดกระบอกตาได้ โดยเฉพาะเมื่อค่าสายตาสั้นหรือยาวไม่เท่ากัน หรือในกรณีที่มีสายตาเอียงมาก ซึ่งอาจจำเป็นต้องตรวจสายตาอย่างละเอียดและสวมแว่นตาตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและลดอาการปวด

ผลข้างเคียงจากโรคและภาวะอื่นๆ

อาการปวดกระบอกตา ปวดหัว หรือคลื่นไส้ นอกจากจะเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความเครียด หรือการใช้สายตานานๆ แล้ว ยังสามารถเกิดขึ้นจากโรคหรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ ด้วย เช่น

  • ต้อหินเฉียบพลันเกิดจากความดันภายในลูกตาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการปวดกระบอกตาได้อย่างรุนแรง
  • เส้นประสาทตาอักเสบ (Optic Neuritis) เกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทตาที่อาจเกิดจากโรคต่างๆ เช่น โรคหลายเส้นโลหิตตีบ (MS) โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือการติดเชื้ออื่นๆ
  • ม่านตาอักเสบคือการอักเสบของม่านตาและเนื้อเยื่อภายในลูกตา ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการปวดกระบอกตาและส่งผลกระทบต่อการมองเห็น
  • ไซนัสอักเสบเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ซึ่งการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและประเภทของการติดเชื้อ
  • โรคเกรฟส์เกิดจากการทานยาที่ยับยั้งฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป ซึ่งการรักษาจะขึ้นอยู่กับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตามแต่ละกรณี
  • ปัญหาสุขภาพปากและฟัน เช่น การจัดเรียงฟันและขากรรไกรที่ผิดปกติ อาจทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อในบริเวณนั้น ซึ่งอาจลุกลามไปจนถึงอาการปวดกระบอกตาและปวดหัวได้
  • โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายต่อมไทรอยด์ ส่งผลให้ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์มากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดตาได้

ดวงตากระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ

การประสบอุบัติเหตุในลักษณะต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อดวงตา ทำให้เกิดอาการปวดกระบอกตา ปวดเบ้าตา ปวดนัยน์ตา หรือแม้กระทั่งกระจกตาถลอกและเป็นแผลได้

 

สังเกตให้ดี ลักษณะอาการปวดกระบอกตาเป็นแบบไหน?

 

สังเกตให้ดี ลักษณะอาการปวดกระบอกตาเป็นแบบไหน?

สังเกตให้ดี ลักษณะอาการปวดกระบอกตาอาจมีความแตกต่างกันไปตามสาเหตุ เช่น

  • ปวดแสบปวดร้อนที่เบ้าตาหรือกระบอกตา
  • ปวดตื้อๆ หรือเหมือนมีแรงดันกดจากด้านหลังของศีรษะ
  • รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา
  • ตาพร่าหรือตามัว
  • ตาแดง
  • ตาไวต่อแสงต่างๆ เช่น แสงแดดจ้า แสงไฟสว่าง หรือแสงแฟลชจากโทรศัพท์มือถือ

 

อาการปวดกระบอกตาแบบไหนที่ควรรีบพบแพทย์

 

อาการปวดกระบอกตาแบบไหนที่ควรรีบพบแพทย์

อาการปวดกระบอกตาบางประเภทอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับอาการปวดกระบอกตา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและรักษาอย่างทันท่วงที

  • ปวดหัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
  • ปวดหัวรุนแรงจนตื่นกลางดึก
  • ปวดกระบอกตาและปวดหัวบ่อย พร้อมมีไข้สูง
  • ตาพร่ามัวหรือมองเห็นไม่ชัด
  • สูญเสียการมองเห็นทั้งสองข้าง
  • สูญเสียการรับความรู้สึก
  • มีอาการคอแข็ง
  • อารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
  • เวียนหัว คลื่นไส้ หรืออาเจียน
  • เคยเกิดอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนดวงตา

การตรวจและวินิจฉัยอาการปวดกระบอกตา

การตรวจและวินิจฉัยอาการปวดกระบอกตาเป็นขั้นตอนสำคัญในการหาสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างถูกต้องและตรงจุด แพทย์จะทำการสอบถามประวัติอาการที่เกิดขึ้น รวมถึงอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะทำการตรวจร่างกายและอาจใช้เครื่องมือเฉพาะทาง เช่น

ใช้ไฟตรวจดวงตา

หากคุณสังเกตว่าอาการปวดหัวข้างขวา ปวดกระบอกตา และปวดท้ายทอยนั้นไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก แต่ดูเหมือนจะเกิดจากปัญหาที่ดวงตาโดยตรง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที แพทย์จะทำการตรวจดวงตาโดยการใช้ไฟส่องดูส่วนประกอบต่างๆ ของตาเพื่อประเมินการทำงานว่าเป็นปกติหรือไม่

นอกจากนี้ยังจะตรวจวัดสายตาเพื่อตรวจค่าสายตา ตรวจชั้นตาทั้ง 5 และตรวจความดันตา เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการ ทั้งนี้การตรวจจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

ส่องกล้องดูความผิดปกติ

การตรวจเริ่มจากแพทย์จะทายาชาภายในจมูกของผู้ป่วยก่อน เพื่อให้บริเวณนั้นชา จากนั้นจะสอดท่อเล็กๆ ที่มีกล้องติดอยู่เข้าไปในจมูก เพื่อส่องดูความผิดปกติ เช่น อาการบวม หรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับไซนัส ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดกระบอกตาหรือไมเกรน

ถ่ายภาพด้วยวิธีต่างๆ

กรณีนี้จะคล้ายกับการวินิจฉัยอาการปวดหัวคลัสเตอร์ ซึ่งมีอาการปวดรุนแรงและเป็นชุด รวมถึงอาการปวดหัวเรื้อรัง โดยจะใช้วิธีการทำ MRI, CT Scan หรืออัลตราซาวด์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย และค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดกระบอกตาอย่างละเอียด

เจาะเลือดตรวจ

วิธีนี้จะใช้ในการตรวจอาการปวดกระบอกตาที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การตรวจหาความผิดปกติของระดับฮอร์โมนไทรอยด์ หรือการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ที่ร่างกายสร้างขึ้น เป็นต้น

รักษาด้วยสารกัมมันตรังสีไอโอดีน

อย่างที่ทราบกันดีว่าอาการปวดกระบอกตาสามารถเกิดจากโรคเกรฟส์หรือปัญหาที่เกี่ยวกับไทรอยด์ได้ ดังนั้น วิธีการวินิจฉัยนี้จะใช้ในการตรวจหาโรคเกี่ยวกับไทรอยด์หรือโรคเกรฟส์โดยเฉพาะ ผ่านการใช้กล้องส่องตรวจอย่างละเอียด

วิธีตรวจทางทันตกรรม

หนึ่งในสาเหตุของการปวดต้นคอ ปวดหัว และปวดกระบอกตาคือปัญหาที่เกี่ยวกับขากรรไกรและการจัดเรียงตัวของฟัน ดังนั้นแพทย์จะทำการตรวจสอบขากรรไกรและฟันเพื่อดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติจะทำการรักษาต่อไปตามขั้นตอนที่เหมาะสม

 

วิธีแก้อาการปวดกระบอกตาเบื้องต้น

 

วิธีแก้อาการปวดกระบอกตาเบื้องต้น

วิธีการรักษากลุ่มแรกคือการบรรเทาอาการปวดกระบอกตาเบื้องต้น ซึ่งสามารถทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยตนเองดังนี้

รับประทานยาแก้ปวด

ยาแก้ปวดมีหลายประเภท ซึ่งสามารถใช้ตามชนิดของอาการปวด เช่น ยาแก้ปวดหัวทั่วไป หรือยาเฉพาะสำหรับไมเกรน เช่น ยากลุ่มทริปแทน ที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวในรูปแบบต่างๆ หรือยากลุ่ม Ergotamine ที่ช่วยให้เส้นเลือดหดตัวกลับสู่ปกติ นอกจากนี้ยังมียากลุ่ม Ibuprofen หรือยาต้านการอักเสบไร้สเตียรอยด์ ที่สามารถใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดกระบอกตาหรือเบ้าตาได้เช่นกัน

ประคบร้อนที่ดวงตา

เมื่อมีอาการปวดกระบอกตา วิธีง่ายๆ ที่ช่วยบรรเทาได้คือการประคบร้อน โดยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นหมาดๆ หรือถุงร้อนในอุณหภูมิที่พอเหมาะ ประคบบริเวณกระบอกตา วิธีนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาผ่อนคลาย และระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น

วิธีบริหารกล้ามเนื้อตา

วิธีบริหารกล้ามเนื้อตาเพื่อบรรเทาอาการปวดกระบอกตาที่ทำได้ง่ายๆ เพียงเตรียมอุปกรณ์ เช่น ไฟฉายเล็กๆ แบบแท่งดินสอ 1 กระบอก หรือดินสอหรือปากกา 1 ด้าม จากนั้นทำตามขั้นตอนดังนี้

 

1. ใช้มือข้างหนึ่งถืออุปกรณ์ ยืดแขนให้สุดและตั้งอุปกรณ์บริเวณกลางจมูก

2. ใช้สายตาจ้องไปที่ปลายอุปกรณ์ จากนั้นหลับตาและลืมตาให้มองเห็นเป็นภาพชัด

3. ค่อยๆ เคลื่อนอุปกรณ์เข้ามาใกล้ๆ อย่างช้าๆ โดยพยายามมองให้เห็นเป็นภาพชัด

 

หากภาพเริ่มเบลอหรือซ้อนให้หยุดและเริ่มทำใหม่ ทำซ้ำกระบวนการนี้ให้ครบ 20 ครั้ง การบริหารกล้ามเนื้อตาด้วยวิธีนี้จะช่วยฝึกกล้ามเนื้อตาและลดความเมื่อยล้าจากการใช้สายตานานๆ ได้

กายภาพบำบัด

สำหรับวิธีแก้อาการปวดกระบอกตา ปวดเบ้าตา ปวดหัว และปวดขมับสามารถรับมือได้อย่างปลอดภัยด้วยการทำ “กายภาพบำบัด” โดยการบริหารท่ายืดกล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอยและต้นคอ มีวิธีทำท่าทางต่างๆ ดังนี้

  • ท่ายืดกล้ามเนื้อคอและบ่าข้างใช้มือจับศีรษะแล้วกดศีรษะไปฝั่งตรงข้ามจนรู้สึกตึงที่คอข้างที่ยืด ค้างไว้ 10-15 วินาที จากนั้นเปลี่ยนข้าง
  • ท่ายืดกล้ามเนื้อที่ใช้ยกสะบักก้มคอ 45 องศา ใช้มือกดคอด้านหลังจนรู้สึกตึงจนถึงสะบัก ค้างไว้ 10-15 วินาที จากนั้นเปลี่ยนข้าง
  • ท่ายืดกล้ามเนื้อคอด้านหน้าวางมือไขว้ไปที่กระดูกไหปลาร้าฝั่งตรงข้ามกับฝ่ามือ หันหน้ามาทางมือที่จับและเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ค้างไว้ 10-15 วินาที จากนั้นเปลี่ยนข้าง
  • ท่าเก็บคางยืนชิดผนังให้หัวแนบติดผนัง ใช้มือดันคางเข้าไปขณะมองตรง ไม่ก้มคอหรือเกร็งบ่า ค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง
  • ท่านวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อคอ ท้ายทอย ขมับสอดนิ้วมือประสานกันและวางบนท้ายทอย ใช้นิ้วโป้งกดคลึงช้าๆ จากต้นคอไปถึงฐานกะโหลก และลากไปถึงกกหูและขมับ โดยใช้แรงเบาๆ
  • ท่านวดกล้ามเนื้อบริเวณบ่าใช้มือข้างตรงข้ามยกไขว้วางบนบ่า นวดช้าๆ จากขอบบ่าไปจนถึงต้นคอ ทำวนจนรู้สึกสบายขึ้น

ใช้ยาหยอดตา

วิธีนี้สามารถทำได้ด้วยตนเอง แต่ก่อนที่จะหยอดตาเพื่อป้องกันอาการปวดกระบอกตา ตาแห้ง หรือระคายเคือง ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการหรือเภสัชกรก่อนเสมอ

 

วิธีแก้อาการปวดกระบอกตาตามสาเหตุของโรค

 

วิธีแก้อาการปวดกระบอกตาตามสาเหตุของโรค

วิธีแก้อาการปวดกระบอกตาสามารถแตกต่างกันไปตามสาเหตุของโรคที่เป็นต้นเหตุ โดยการรักษาจะเน้นไปที่การบรรเทาอาการตามสาเหตุต่างๆ ได้แก่

ไมเกรน

หากมีอาการปวดกระบอกตาร่วมกับไมเกรน สามารถรักษาได้หลายวิธี เช่น การฝังเข็มตามศาสตร์ของแพทย์แผนจีน หรือการฉีดยาไมเกรนที่ได้รับความนิยมสูง อย่างไรก็ตามหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพและผลข้างเคียงน้อยที่สุด คือการฉีดโบท็อกไมเกรน

การฉีดโบท็อกซ์ไมเกรนใช้ Botulinum Toxin ชนิด A ซึ่งมีคุณสมบัติในการคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการยึดตึง และยับยั้งการทำงานของประสาทในบริเวณต่างๆ วิธีการคือแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ที่จุดต่างๆ เช่น ขมับ บ่า ไหล่ และรอบศีรษะ หลังจากฉีดแล้ว 3-5 วันจะเริ่มเห็นผล และผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 4-6 เดือน

ต้อหิน

อาจจะไม่คุ้นหูนัก แต่โรคนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดกระบอกตา ซึ่งเกิดจากการทานยายับยั้งการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ การรักษาด้วยสารกัมมันตรังสีไอโอดีน หรือแม้กระทั่งการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ ทั้งนี้การรักษาจะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค

ม่านตาอักเสบ

วิธีนี้แพทย์อาจใช้ยาหยอดตาสเตียรอยด์เพื่อช่วยลดอาการอักเสบของกระบอกตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรือโรคอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา

ไซนัสอักเสบ

วิธีเบื้องต้นในการรักษาโรคไซนัสอักเสบคือการล้างจมูกด้วยสารละลายน้ำเกลือ ซึ่งช่วยลดอาการบวมและคัดจมูก ทำให้แรงดันในลูกตาลดลง หากมีอาการปวดหัวหรือปวดกระบอกตาที่รุนแรง แพทย์อาจจ่ายยาเฉพาะเพื่อบรรเทาอาการ แต่หากอาการยังคงรุนแรง อาจจำเป็นต้องดำเนินการรักษาด้วยการผ่าตัด

ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ

แพทย์อาจจ่ายยายับยั้งการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ รวมถึงการรักษาด้วยสารกัมมันตรังสีไอโอดีน หรือในกรณีที่จำเป็น อาจต้องดำเนินการผ่าตัดเพื่อลดอาการและควบคุมโรค

โรคเกรฟส์

โรคเกรฟส์ (Graves' Disease) ถึงแม้ชื่อโรคจะไม่คุ้นหู แต่โรคนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดกระบอกตา การรักษามักเริ่มจากการทานยายับยั้งการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ การรักษาด้วยสารกัมมันตรังสีไอโอดีน หรือในบางกรณีอาจต้องทำการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค

 

ภาวะแทรกซ้อนจากการปวดกระบอกตา

 

ภาวะแทรกซ้อนจากการปวดกระบอกตา

การปวดกระบอกตาอาจไม่ใช่อาการที่เกิดขึ้นแค่ชั่วคราว เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาและระบบต่างๆ ของร่างกายได้ในระยะยาว โดยภาวะแทรกซ้อนมีดังนี้

  • ปวดกระบอกตาพร้อมกับมีไข้
  • ปวดหัวอย่างรุนแรง
  • มองเห็นภาพเบลอหรือเห็นไม่ชัดเท่าปกติ
  • สูญเสียการมองเห็นทั้งสองข้าง
  • สูญเสียการรับความรู้สึก
  • การเคลื่อนไหวของส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายผิดปกติ

 

การป้องกันไม่ให้ปวดกระบอกตา

การป้องกันอาการปวดกระบอกตาสามารถทำได้หลายวิธี โดยการปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพตาเป็นสำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอาการที่อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพตาที่รุนแรงขึ้นในอนาคต ซึ่งการป้องกัน ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจกระตุ้นไมเกรน เช่น ช็อกโกแลต ชีส หรืออาหารที่มีสารเติมแต่ง และเน้นทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น อาหารที่มีแมกนีเซียม ซึ่งสามารถช่วยลดอาการไมเกรนและอาการปวดกระบอกตาได้
  • พักสายตาหรือลดระยะเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือการจ้องจอ เพื่อให้ดวงตาได้พักผ่อน
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงจ้าหรือในพื้นที่ที่ลมแรง เพราะจะทำให้ดวงตาต้องทำงานหนักเกินไป
  • นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เพื่อฟื้นฟูร่างกายและลดอาการปวดกระบอกตา
  • หากมีปัญหาสายตาควรสวมแว่นตาตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อป้องกันอาการปวดกระบอกตาจากการใช้สายตา
  • หากมีอาการไมเกรนหรือปวดหัวควรทานยาไมเกรน ยาแก้ปวดหัว หรือยาตามที่แพทย์แนะนำ
  • ตรวจสุขภาพและตรวจดวงตาประจำปีเพื่อไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนและรู้เท่าทันอาการของตนเอง
  • ออกกำลังกายเพื่อรักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ เช่น โยคะแก้ปวดหัว เดินเร็ว หรือวิ่งเบาๆ

 

สรุป

อาการปวดกระบอกตาอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ไมเกรน โรคไทรอยด์ หรือปัญหาจากการใช้สายตานานๆ เช่น การจ้องจอคอมพิวเตอร์ การพักผ่อนน้อยหรือการเจ็บป่วยจากไซนัส โดยอาการอาจรวมถึงการปวดตื้อๆ ปวดแสบ หรือมีความรู้สึกดันจากด้านหลังของศีรษะ หากอาการปวดกระบอกตามีความรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยา การประคบหรือวิธีการบำบัดต่างๆ การดูแลสุขภาพดวงตาและการพักสายตาอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยป้องกันการเกิดอาการนี้ได้

โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพมีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการปวดกระบอกตา โดยจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบถึงประสาทตา พร้อมให้การดูแลและรักษาอย่างเหมาะสม

 

FAQ

การปวดกระบอกตาเป็นอาการที่หลายคนอาจเคยพบเจอ และอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับอาการปวดกระบอกตา นี่คือคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการนี้ เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและรับมือกับอาการได้ดีขึ้น

ปวดกระบอกตาขวาหรือเบ้าตาขวาเกิดจากอะไร

อาการปวดเบ้าตาขวาอาจเกิดจากการใช้งานสายตามากเกินไป ไซนัสอักเสบ ซึ่งทำให้ปวดบริเวณเบ้าตาและใบหน้า ไมเกรนที่มักปวดข้างเดียวพร้อมกับตาพร่าและคลื่นไส้ หรืออาการจากปลายเส้นประสาทอักเสบที่มีลักษณะปวดจี๊ดๆ ตามแนวเส้นประสาท

ปวดเบ้าตาซ้าย เกิดจากสาเหตุอะไร

อาการปวดเบ้าตาซ้ายมักเกิดจากความตึงเครียดของกล้ามเนื้อคอและท้ายทอย มักปวดร้าวไปที่ขมับ หน้าผาก หรือกระบอกตา เกิดจากความเครียดหรือการนอนผิดท่า

ทำอย่างไรให้หายปวดกระบอกตา

การประคบร้อนด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นหรือถุงร้อนช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต รวมถึงการบริหารกล้ามเนื้อตาช่วยลดอาการปวดกระบอกตาได้ดี

calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111