มุมสุขภาพตา : #จอประสาทตา

เรียงตาม

หนังตากระตุกเกิดจากอะไร? และเคล็ดลับดูแลสายตาเพื่อป้องกันอาการ

หนังตากระตุกคืออาการที่กล้ามเนื้อบริเวณเปลือกตาขยับหรือกระตุกโดยไม่ตั้งใจ โดยมักเกิดที่เปลือกตาบนและเกิดขึ้นเป็นระยะๆ อาจเป็นเพียงชั่วขณะหรือเกิดบ่อยๆ เป็นอาการที่ไม่รุนแรง หนังตากระตุกมักเกิดจากความเครียดหรือวิตกกังวล นอนหลับไม่เพียงพอ ใช้สายตามากเกินไป ขาดแมกนีเซียม โรคพาร์กินสัน หรือการติดเชื้อที่เปลือกตา อาการเปลือกตากระตุกที่ควรพบจักษุแพทย์ ได้แก่ กระตุกตาต่อเนื่องเกิน 2-3 สัปดาห์ มีอาการปวด หรือทำให้ลืมตาลำบาก ตาแดงหรือมีขี้ตา กระตุกเกิดร่วมกับการเกร็งของกล้ามเนื้อใบหน้า หากมีอาการหนังตากระตุกต่อเนื่องหรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรพบจักษุแพทย์ที่ Bangkok Eye Hospital เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม   การที่หนังตากระตุกเป็นอาการที่หลายคนคุ้นเคย ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ควรใส่ใจ มาดูกันว่าอาการนี้เกิดจากอะไร และเราจะดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการนี้ได้อย่างไร     อาการหนังตากระตุกคืออะไร? ตากระตุก (Eye Twitching) คืออาการที่หนังตาขยับหรือหนังใต้ตากระตุกอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นแค่เพียงเล็กน้อยหรือถี่จนทำให้เกิดความรำคาญได้ อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งที่เปลือกตาบนและล่าง แต่พบมากที่เปลือกตาบน โดยทั่วไปแล้วอาการตากระตุกมักไม่รุนแรงและไม่มีความเจ็บปวด     สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการหนังตากระตุก อาการหนังตากระตุกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันหรือสภาวะร่างกาย ดังนี้ ความเครียดและความวิตกกังวลสะสมเป็นเวลานาน นอนหลับไม่เป็นเวลาหรือนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ใช้สายตามากเกินไป เช่น การมองจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานๆ โดยไม่พักสายตา ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์มากในปริมาณมาก แสงสว่างที่จ้าเกินไป ลม หรือมลพิษทางอากาศ การขาดวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารบางชนิด เช่น แมกนีเซียม วิตามินบี 12 หรือวิตามินดี การระคายเคืองที่เปลือกตาด้านใน หรือโรคภูมิแพ้ โรคตาที่ทำให้เกิดการระคายเคือง เช่น ตาแห้ง ที่อาจทำให้เปลือกตากระตุกหรือเกร็งจากการพยายามรักษาความชุ่มชื้นให้กับตา โรคทางระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ในการรักษา     อาการหนังตากระตุกบ่อยๆ บ่งบอกถึงอะไร? แม้ว่าอาการหนังตากระตุกจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองในหลายกรณี แต่หากเกิดขึ้นบ่อยๆ หรือมีอาการที่รุนแรงขึ้น ควรสังเกตให้ดี เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคต่างๆ เช่น โรคทูเร็ตต์ (Tourette's Disorder) โรคอัมพาตใบหน้า (Bell’s Palsy) โรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง (Dystonia) โรคกล้ามเนื้อใบหน้าบิดเกร็ง (Facial Dystonia) โรคคอบิดเกร็ง (Cervical dystonia) โรคกล้ามเนื้อช่องปากหรือขากรรไกรบิดเกร็ง (Oromandibular Dystonia) โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis)     วิธีการรักษาเปลือกตากระตุกและการบรรเทาอาการ การรักษาและบรรเทาอาการเปลือกตากระตุกสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ ดังนี้ รับประทานยา การใช้กลุ่มยาคลายกล้ามเนื้อหรือกลุ่มยานอนหลับ อาจช่วยบรรเทาอาการหนังตากระตุกชั่วคราว เช่น ยาลอราซีแพม (Lorazepam) ยาไตรเฮกซีเฟนิดิล (Trihexyphenidyl) และยาโคลนาซีแพม (Clonazepam) อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ จึงควรใช้ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รักษาตามปัจจัยที่กระตุ้นให้กล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก การจัดการกับปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการเกร็งหรือกระตุกของกล้ามเนื้อเปลือกตา เช่น การใช้น้ำตาเทียมอาการกล้ามเนื้อเปลือกตากระตุกอาจเกิดจากตาแห้ง การใช้น้ำตาเทียมช่วยให้ความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และป้องกันการกระตุกของกล้ามเนื้อเปลือกตา การรักษาเปลือกตาอักเสบหากการกระตุกเกิดจากการอักเสบ เช่น โรคภูมิแพ้หรือการติดเชื้อ การใช้ยาฆ่าเชื้อหรือยาสเตียรอยด์จะช่วยลดอาการอักเสบและทำให้การกระตุกหายไป การใช้แว่นตาดำ (FL-41)ช่วยกรองแสงจ้า เช่น แสงจากจอคอมพิวเตอร์หรือแสงแดด ลดการกระตุกของกล้ามเนื้อเปลือกตา โดยช่วยให้ตารู้สึกสบายและลดอาการกระตุก ฉีดโบท็อกซ์ การฉีดโบท็อกซ์ได้รับการรับรองในการรักษาอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งที่ควบคุมไม่ได้ และปัจจุบันเป็นวิธีที่นิยมและแนะนำมากที่สุดในการรักษาอาการเปลือกตากระตุก แพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ลงไปบริเวณกล้ามเนื้อรอบดวงตาที่มีอาการกระตุก เพื่อทำให้กล้ามเนื้อเหล่านั้นอ่อนแรงชั่วคราว และไม่สามารถหดเกร็งได้ โบท็อกซ์จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและบล็อกสัญญาณจากเส้นประสาทที่กระตุ้นการกระตุก เมื่อฉีดโบท็อกซ์แล้วอาการตากระตุกจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ผลของโบท็อกซ์จะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน เมื่อยาหมดฤทธิ์ อาการอาจกลับมา จึงแนะนำให้กลับไปพบแพทย์หากอาการยังคงมีอยู่ การผ่าตัด การผ่าตัดสำหรับอาการตากระตุกจะพิจารณาในกรณีที่อาการไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยโบท็อกซ์หรือวิธีอื่นๆ โดยการผ่าตัดอาจจะทำการตัดเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเปลือกตา เพื่อหยุดการกระตุกที่ไม่สามารถควบคุมได้     หนังตากระตุกหายได้เองไหม? และเมื่อไรที่ควรพบแพทย์? โดยทั่วไปแล้วอาการกล้ามเนื้อเปลือกตากระตุกมักหายได้เองหากหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที หนังตากระตุกที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนรบกวนหรือมีผลต่อชีวิตประจำวันและการทำงาน อาการเปลือกตากระตุกที่ไม่หายไปภายใน 2-3 สัปดาห์ เปลือกตากระตุกที่ทำให้ลืมตายากหรือเปลือกตาปิดสนิท อาการตาเกร็งหรือกะพริบตาค้างจนไม่สามารถลืมตาขึ้นได้เอง ตาแดง หรือมีขี้ตา รวมถึงเปลือกตาตก มีการกระตุกบริเวณอื่นของใบหน้าหรือร่างกายร่วมด้วย     วิธีป้องกันไม่ให้เกิดเปลือกตากระตุก การป้องกันอาการเปลือกตากระตุกสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อเปลือกตา ดังนี้ ลดเวลาในการอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ นอนหลับ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ งดการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หาสิ่งที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ หรือการฝึกหายใจเพื่อลดความเครียด นวดกล้ามเนื้อรอบดวงตาเพื่อช่วยคลายความตึงเครียด ประคบร้อนหรืออุ่นบริเวณดวงตาประมาณ 10 นาที หากเกิดอาการตาแห้งหรือระคายเคือง สามารถหยอดน้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการ   สรุป หนังตากระตุกคืออาการที่กล้ามเนื้อเปลือกตาขยับโดยไม่ตั้งใจ มักเกิดที่เปลือกตาบน สาเหตุรวมถึงความเครียด การนอนน้อย การใช้สายตานาน ขาดสารอาหาร หรือแสงจ้า โดยวิธีรักษา ได้แก่ ใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ น้ำตาเทียม แว่นตากรองแสง โบท็อกซ์ หรือการผ่าตัดในกรณีที่จำเป็น หากมีอาการหนังตากระตุกต่อเนื่องหรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ควรพบจักษุแพทย์ที่Bangkok Eye Hospitalเพื่อรับคำปรึกษาและการรักษาที่เหมาะสม
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

เส้นเลือดฝอยในตาแตกอันตรายไหม? สังเกตอาการและวิธีรักษาที่ควรรู้

การพบจุดแดงหรือรอยเลือดคล้ายเส้นเลือดฝอยแตกในดวงตาอาจสร้างความกังวลว่าเป็นอาการร้ายแรงหรือไม่ ถ้าเส้นเลือดฝอยในตาแตกอันตรายมากไหม? บทความนี้พามาดูว่าอาการแบบไหนที่ควรกังวลและรีบพบแพทย์ พร้อมวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพและแนวทางป้องกันที่เหมาะสม เพื่อสุขภาพตาที่ดีในระยะยาว ลักษณะเส้นเลือดฝอยในตาแตก คือการมีจุดแดงบริเวณตาขาวเกิดจากเส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุตาแตก มักไม่ทำให้เจ็บปวดหรือมีผลต่อการมองเห็น บางรายอาจมีอาการระคายเคืองเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่หายได้เองโดยไม่ต้องรักษา สาเหตุของเส้นเลือดฝอยในตาแตก มักเกิดจากแรงดันในร่างกายที่เพิ่มขึ้นจากการไอ จาม ยกของหนัก หรือท้องผูก อุบัติเหตุที่กระทบดวงตา โทรศัพท์หล่นใส่ตาขณะเล่นโทรศัพท์ ความดันโลหิตสูง การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด รวมถึงโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวานหรือภาวะเลือดออกง่าย การรักษาและการดูแลตัวเอง มักไม่จำเป็นต้องรักษาเพราะหายได้เองภายใน 2 - 3 สัปดาห์ ระหว่างรอหายให้ประคบเย็นบริเวณตา หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ให้ดวงตาพักผ่อน หรือใช้น้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง อาการที่ควรพบแพทย์ คือเมื่อเส้นเลือดฝอยในตาแตกไม่หายภายใน 2 - 3 สัปดาห์ มีอาการปวดตา การมองเห็นผิดปกติ มีเลือดออกในจุดอื่นของดวงตา หรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัย   สังเกตอาการเส้นเลือดฝอยในตาแตกมีลักษณะอย่างไร เส้นเลือดฝอยในตาแตก (Subconjunctival Hemorrhage) เป็นภาวะที่เกิดจากการแตกของเส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุตาขาว ทำให้เลือดออกและมองเห็นเป็นจุดแดงในตา การมีเส้นเลือดฝอยใต้เยื่อบุตาแตกเป็นภาวะที่พบได้บ่อย ผู้ที่มีภาวะนี้บางรายอาจมีความรู้สึกระคายเคืองที่ตาร่วมด้วย แต่ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการเจ็บปวดหรือการมองเห็นผิดปกติแต่อย่างใด ภาวะนี้มักหายได้เองภายในระยะเวลาหนึ่งโดยไม่ต้องรักษา อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรงหรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่อาจเกี่ยวข้อง     เส้นเลือดฝอยในตาแตกเกิดจากอะไร? โดยปกติแล้วภาวะนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นหรือทำให้เกิดความเจ็บปวดแต่อย่างใด แล้วเส้นเลือดฝอยในตาแตกมักเกิดจากสาเหตุอะไร? เช่น แรงดันในร่างกายที่เพิ่มขึ้นจากการไอแรง จามแรง ยกของหนัก หรือท้องผูก อุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนดวงตา โทรศัพท์หล่นใส่ตาขณะเล่นโทรศัพท์ ความดันโลหิตสูงที่ทำให้เส้นเลือดฝอยเปราะและแตกง่าย การใช้ยาบางชนิดเช่นยาต้านการแข็งตัวของเลือด รวมถึงโรคประจำตัวบางอย่างเช่นเบาหวานหรือภาวะเลือดออกง่าย เส้นเลือดฝอยในตาแตกอันตรายไหม? เป็นสัญญาณของโรคอะไร โดยปกติแล้ว เส้นเลือดฝอยในตาแตกเพียงครั้งคราวมักไม่เป็นอันตราย แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการตรวจเช็ก เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะเลือดออกง่ายผิดปกติ โรคเบาหวาน หรือผลจากการใช้ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งล้วนส่งผลต่อหลอดเลือดในร่างกายรวมถึงที่ดวงตา ดังนั้น หากพบว่ามีอาการนี้บ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและป้องกันปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต     เส้นเลือดฝอยในตาแตกรักษาอย่างไรดี? เส้นเลือดฝอยในตาแตกมักไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาเนื่องจากไม่ส่งผลต่อการมองเห็น ไม่ทำให้เจ็บปวด และมักหายได้เองภายใน 2 - 3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับขนาดของหย่อมสีแดงบริเวณตาขาว ระหว่างรอให้หาย ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการด้วยการประคบเย็นที่ดวงตาหรือหยดน้ำตาเทียมเพื่อลดอาการบวมและระคายเคือง อย่างไรก็ตาม หากเกิดจากปัญหาสุขภาพหรืออุบัติเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาต้นเหตุอย่างถูกวิธี การป้องกันเส้นเลือดฝอยในตาแตก การดูแลดวงตาให้มีสุขภาพดีและปลอดภัยจากบาดเจ็บเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงของเส้นเลือดฝอยในตาแตก เริ่มจากการหลีกเลี่ยงการขยี้ตา ไอหรือจามรุนแรง และการยกของหนักเป็นประจำ รวมถึงการสวมอุปกรณ์ป้องกันดวงตาเมื่อทำงานที่มีความเสี่ยง พร้อมทั้งหมั่นพักสายตาด้วยสูตร 20-20-20 เมื่อต้องจ้องจอนาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อป้องกันโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง และสวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้งเพื่อป้องกันอันตรายจากรังสียูวี     คำแนะนำในการดูแลตัวเองเมื่อเส้นเลือดฝอยในตาแตก หากคุณมีอาการเส้นเลือดฝอยในตาแตก วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นมีดังนี้ ให้ดวงตาได้พักผ่อนและหลีกเลี่ยงการเพ่งสายตามากเกินไป ใช้ผ้าเย็นประคบเบาๆ เพื่อลดอาการอักเสบหรืออาการบวมที่อาจเกิดขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือสัมผัสดวงตาบ่อยๆ เพื่อป้องกันการระคายเคือง อาการเส้นเลือดฝอยในตาแตกแบบไหนที่ควรพบแพทย์ หากเส้นเลือดฝอยที่แตกในตาไม่หายภายใน 2 - 3 สัปดาห์ หรือมีอาการปวดตา การมองเห็นผิดปกติ มีปัญหาสายตา มีเลือดออกในจุดอื่นของดวงตา หรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาโดยเร็ว บางรายอาจจำเป็นต้องปรึกษาจักษุแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทางเพิ่มเติม โดยเฉพาะในกรณีที่มีสาเหตุจากการบาดเจ็บบริเวณช่องลูกตาหรือจอประสาทตา รักษาอาการเส้นเลือดฝอยในตาแตก ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร หากมีอาการเส้นเลือดฝอยแตกในตา มาปรึกษาและรักษาได้ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) เพื่อการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยจักษุแพทย์ผู้มากความรู้เกี่ยวกับดวงตาและและทีมงานที่มีประสบการณ์ และจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป เส้นเลือดฝอยในตาแตกอาจสร้างความกังวลให้กับผู้พบเห็น แม้ในหลายกรณีจะไม่ใช่อันตรายร้ายแรง แต่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะหากพบบ่อยครั้งหรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น ตาพร่ามัว ปวดตารุนแรง หรือมีการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็น การพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือความผิดปกติของหลอดเลือด การตรวจและรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและปัญหาสุขภาพตาที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว หากมีความผิดปกติของดวงตา มาเช็กสุขภาพตาอย่างละเอียดที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

จอประสาทตาเป็นรูเกิดจากอะไร? อาการที่ควรรีบพบแพทย์ และวิธีรักษา

จอประสาทตาเป็นรูคือภาวะที่จอประสาทตาฉีกขาดหรือมีรูเกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติในการรับภาพ จอประสาทตาเป็นรูเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมสภาพของวุ้นตาเมื่ออายุมากขึ้น สายตาสั้นมาก อุบัติเหตุ หรือผลจากการผ่าตัดตา อาการจอประสาทตาเป็นรูที่ควรพบแพทย์ ได้แก่ ตามัว เห็นแสงแฟลช จุดดำลอยไปมา หรือเห็นม่านบังตา หากมีอาการจอประสาทตาเป็นรู ควรรีบพบจักษุแพทย์ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital เพื่อรับคำปรึกษาและการรักษาที่เหมาะสม     การเข้าใจอาการและการดูแลรักษาภาวะจอประสาทตาเป็นรูเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็น หากคุณสงสัยว่าอาการมองเห็นผิดปกติของคุณอาจเกี่ยวข้องกับภาวะนี้ บทความนี้จะช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาที่เหมาะสม     ภาวะจอประสาทตาเป็นรูคืออะไร? ในลูกตาของเรามีของเหลวใสคล้ายไข่ขาวที่เรียกว่าวุ้นตา ซึ่งจะยึดติดกับจอประสาทตา เมื่ออายุมากขึ้น วุ้นตาจะเริ่มเหลวและหดตัวออกจากจอประสาทตา ทำให้เกิดแรงดึงรั้งที่อาจทำให้จอประสาทตาฉีกขาด เป็นรู หากน้ำในวุ้นตารั่วผ่านรูที่ฉีกขาดเข้าไป ก็อาจทำให้จอประสาทตาหลุดลอก ซึ่งจะทำให้เซลล์รับภาพเสื่อมและอาจส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นถาวรได้     จอประสาทตาเป็นรูเกิดจากอะไร? สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง จอประสาทตาเป็นรูเกิดจากความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจอตา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรับภาพ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะนี้ เช่น อุบัติเหตุ แรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุจะส่งผลถึงบริเวณจอประสาทตา ทำให้เกิดการฉีกขาดอย่างเฉียบพลันที่จุดรับภาพ ซึ่งเป็นส่วนที่บางที่สุดของจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาเป็นรู ส่วนประกอบของน้ำวุ้นในลูกตาเปลี่ยน เมื่ออายุมากขึ้น วุ้นตาจะเริ่มเหลวและหดตัว แยกออกจากจอรับภาพที่ด้านหลัง โดยทั่วไปการแยกตัวนี้จะไม่ทำให้เกิดปัญหา แต่ในบางกรณี วุ้นตาอาจติดแน่นกับจอตาเกินไป ทำให้เกิดแรงดึงเมื่อวุ้นตาหดตัวจนทำให้จอประสาทตาเป็นรูที่จุดรับภาพ สายตาสั้น ผู้ที่มีสายตาสั้นมาก โดยเฉพาะที่มีค่ากำลังสายตาสูงกว่า 700 มักจะมีจอประสาทตาบางกว่าคนปกติ ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดจอประสาทตาเป็นรูได้ การผ่าตัดตา การผ่าตัดตา เช่น การผ่าตัดแก้ไขสายตาสั้นหรือการผ่าตัดต้อกระจก อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จอประสาทตาเป็นรูได้ เนื่องจากการผ่าตัดอาจทำให้เกิดแรงกระแทกหรือการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของตา ซึ่งอาจทำให้จอประสาทตาฉีกขาด โดยเฉพาะในผู้ที่มีจอประสาทตาบางหรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำให้จอประสาทตาอ่อนแอลง คนในครอบครัวมีปัญหาเกี่ยวกับจอประสาทตา การที่คนในครอบครัวมีปัญหาเกี่ยวกับจอประสาทตาอาจเพิ่มความเสี่ยงที่บุคคลในครอบครัวจะเกิดปัญหาจอประสาทตาเป็นรูได้ เนื่องจากบางปัญหาของจอประสาทตาอาจมีลักษณะทางพันธุกรรม เช่น การมีจอประสาทตาบางหรือความผิดปกติของเนื้อเยื่อในจอตา ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดรูที่จอประสาทตาได้     การวินิจฉัยตรวจหาจอประสาทตาเป็นรู ก่อนการทดสอบเพื่อตรวจดูอาการจอประสาทตาเป็นรู แพทย์จะหยอดยาขยายรูม่านตาเพื่อให้สามารถตรวจจอตาได้ชัดเจน หลังจากนั้นผู้ป่วยอาจมีอาการตามัวและไม่สามารถสู้แสงได้ประมาณ 4-6 ชั่วโมงจนกว่ารูม่านตาจะหดกลับเป็นปกติ จากนั้นแพทย์จะทำการทดสอบ Optical Coherence Tomography (OCT) ซึ่งเป็นการทดสอบที่ไม่เจ็บปวด โดยใช้คลื่นแสงถ่ายภาพจอประสาทตาอย่างละเอียด     ทางเลือกและวิธีการรักษาจอประสาทตาเป็นรู การรักษาจอประสาทตาเป็นรูขึ้นอยู่กับขนาดและความรุนแรงของอาการ ซึ่งมีหลายวิธีที่สามารถช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นและช่วยให้จอตาฟื้นฟูได้ เช่น ฉีดฟองก๊าซเพื่อปิดรูฉีดก๊าซบางชนิดเข้าไปในตาผ่านกระจกตา ซึ่งจะช่วยให้เกิดฟองก๊าซที่ดันให้ส่วนของจอตาที่ฉีกขาดหรือหลุดลอกกลับมาประกบกัน ผ่าตัดวุ้นตาแพทย์จะนำวุ้นตาส่วนที่อยู่ในตาออกมาเพื่อลดแรงดึงรั้งจากวุ้นตาที่อาจทำให้รูจอตาเกิดขึ้น จากนั้นจะทำการปิดรูที่จอตาและใส่ฟองก๊าซหรือของเหลวเพื่อช่วยจอตาประกบกัน เย็บหนุนซิลิโคนด้านนอกลูกตาโดยใช้ซิลิโคนแผ่นบางๆ เย็บติดด้านนอกของลูกตาเพื่อช่วยยึดจอประสาทตาให้ติดกันหลังจากที่มีการฉีกขาดหรือหลุดลอก วิธีนี้ช่วยเสริมความแข็งแรงและป้องกันไม่ให้จอตาหลุดลอกอีก ยิงเลเซอร์เพื่อปิดรูการยิงเลเซอร์ที่รอบๆ รูในจอประสาทตาจะทำให้เกิดแผลเป็นช่วยปิดรูนั้น ใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที และผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ทันที แผลเลเซอร์มักจะแข็งแรงภายใน 2-4 สัปดาห์     จอประสาทตาเป็นรู มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ไหม การรักษาจอประสาทตาเป็นรูสามารถหายขาดได้หากได้รับการรักษาในระยะเริ่มต้น โดยมีโอกาสหายเองได้ถึง 50% แต่หากจอตาลอกมานาน แม้การผ่าตัดจะช่วยให้จอตาราบลงได้ แต่ระดับสายตาอาจไม่ดีขึ้นมากนัก ความเสี่ยงอาจที่เกิดขึ้นหากไม่รักษาจอประสาทตาเป็นรู ภาวะจอประสาทตาเป็นรูมักไม่มีอาการและสามารถรักษาได้หากตรวจพบในระยะแรก แต่หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะจอประสาทตาลอก ซึ่งอาจทำให้การมองเห็นเสียหายได้     วิธีดูแลสุขภาพตาและป้องกันจอประสาทตาเป็นรู การดูแลสุขภาพตาเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันปัญหาตาต่างๆ รวมถึงการเกิดจอประสาทตาเป็นรู โดยมีวิธีการดูแลที่ควรทำดังนี้ ควรตรวจเช็กจอประสาทตาทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีสายตาสั้น หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคจอประสาทตา ไม่ควรกดนวดหรือขยี้ตา เพราะอาจทำให้เกิดแรงกดหรือการบาดเจ็บที่ตา ซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดจอประสาทตาเป็นรู หากมีปัญหาสายตาสั้น ควรได้รับการรักษาหรือการแก้ไขสายตาให้ถูกต้องเพื่อป้องกันภาวะจอตาเป็นรูจากความดันภายในตา รักษาภาวะที่เกี่ยวข้องกับตา เช่น เบาหวานหรือความดันโลหิตสูงจะช่วยป้องกันภาวะต่างๆ ที่อาจทำให้จอประสาทตาเสียหาย ป้องกันตาจากการบาดเจ็บ เช่น สวมอุปกรณ์ป้องกันในกิจกรรมที่มีความเสี่ยง หรือการระมัดระวังเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อาจเกิดอันตราย     สัญญาณของอาการจอประสาทตาเป็นรู ที่ควรรีบพบจักษุแพทย์ การรู้สัญญาณเตือนและอาการของจอประสาทตาเป็นรูคือสิ่งสำคัญ ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม หากมีอาการดังนี้ เห็นเงาดำหรือจุดดำลอยไปมาจำนวนมาก มีแสงสว่างคล้ายฟ้าแลบหรือแสงเหมือนไฟแฟลชจากกล้องถ่ายรูปเกิดขึ้นในตา มีลานสายตาผิดปกติหรือแคบลง อาจเกิดจากจอประสาทตาฉีกขาดและหลุดลอก ซึ่งมักเกิดที่ขอบจอประสาทตาก่อน ทำให้ขอบภาพหายไปหรือมีลานสายตาแคบลง ตามัวลงหรือเห็นเหมือนมีม่านมาบังที่ด้านใดด้านหนึ่งของตา สรุป จอประสาทตาเป็นรู คือภาวะที่จอประสาทตาฉีกขาดหรือเกิดรู ส่งผลให้การรับภาพผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการเสื่อมของวุ้นตาหรืออุบัติเหตุ สาเหตุหลักๆ ได้แก่ อายุที่เพิ่มขึ้น สายตาสั้น หรือการผ่าตัดตา การรักษาขึ้นอยู่กับขนาดและระยะเวลา เช่น การยิงเลเซอร์ การฉีดฟองก๊าซ หรือการผ่าตัดวุ้นตา หากมีอาการตามัว เห็นแสงแฟลช หรือเห็นม่านบังตา ควรพบจักษุแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและการรักษาที่ศูนย์รักษาจอประสาทตาโรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ พร้อมค่ารักษาบริการที่เหมาะสมกับแต่ละกรณี
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

ตรวจตาบอดสีเมื่อไร? ตาบอดสีเกิดจากอะไร ความเสี่ยงที่หลายคนไม่รู้!

ภาวะตาบอดสีเป็นหนึ่งในปัญหาทางสายตาที่อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะในเรื่องของการแยกแยะสี ซึ่งอาจมีผลต่อการทำงานหรือการขับขี่ยานพาหนะ สำหรับผู้ที่สงสัยว่าตัวเองอาจมีภาวะตาบอดสี การตรวจตาบอดสีเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้รู้ถึงภาวะนี้ได้อย่างชัดเจน บทความนี้พามาเจาะลึกสาเหตุของภาวะตาบอดสี ทั้งปัจจัยทางพันธุกรรมและปัจจัยภายนอก พร้อมแนะนำวิธีตรวจตาบอดสีที่แม่นยำและเชื่อถือได้ เพื่อการวินิจฉัยและการดูแลที่เหมาะสม โรคตาบอดสีคืออาการความบกพร่องในการมองเห็นและแยกแยะสี โดยผู้ป่วยอาจไม่สามารถมองเห็นสีแดง เขียว หรือน้ำเงินได้ชัดเจน แม้จะมีปัญหาในการรับรู้สี แต่ความสามารถในการมองเห็นวัตถุและรูปร่างยังปกติ ตาบอดสีแดง-เขียว เป็นประเภทที่พบมากที่สุด ทำให้แยกแยะระหว่างสีแดงและเขียวได้ยาก ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของ Cone cell หรือ เซลล์รูปกรวย ตาบอดสีน้ำเงิน-เหลืองจะพบน้อยกว่า มักเกิดจากโรคมากกว่าพันธุกรรม ทำให้แยกแยะสีน้ำเงินกับเขียว และสีเหลืองกับแดงได้ยาก ตาบอดสีทั้งหมด (Monochromacy) เป็นภาวะที่พบน้อยมาก ทำให้เห็นโลกในโทนสีเทาทั้งหมด เกิดจากเซลล์รูปกรวยไม่ทำงาน ผู้ที่มีภาวะตาบอดสีอาจถูกเข้าใจผิดว่ามีปัญหาการเรียนรู้ โดยเฉพาะในวิชาที่เกี่ยวข้องกับสี แต่สามารถเรียนวิชาอื่นได้ปกติ การขับขี่ยานพาหนะอาจมีความยากลำบาก ต้องอาศัยการสังเกตความเข้มของไฟจราจรแทนการแยกสี การประกอบอาชีพอาจมีข้อจำกัด โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องแยกแยะสีอย่างแม่นยำ เช่น นักบิน นักเคมี หรือนักออกแบบกราฟิก     อาการของโรคตาบอดสีเป็นอย่างไร โรคตาบอดสี (Color blindness) คือความบกพร่องในการมองเห็นและแยกแยะสี โดยผู้ป่วยอาจไม่สามารถมองเห็นสีแดง เขียว หรือน้ำเงินได้ชัดเจน ทั้งนี้แม้จะมีปัญหาในการรับรู้สี แต่การมองเห็นวัตถุ รูปร่าง และภาพโดยรวมยังคงชัดเจนเหมือนคนปกติ โรคนี้ไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันค่อนข้างมาก และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง อาการตาบอดสีสามารถแบ่งความรุนแรงได้ 3 ระดับดังนี้ ความรุนแรงระดับต่ำยังสามารถบอกหรือคาดเดาสีที่เห็นได้ โดยอาจเห็นสีเพี้ยนไปจากความเป็นจริงไม่มาก ความรุนแรงระดับกลางเริ่มแยกสีได้ยากขึ้น อาจไม่สามารถคาดเดาสีได้และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ความรุนแรงระดับสูงตาบอดสีประเภทนี้จะเห็นสีเพียงแค่สีขาวดำ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ตาบอดสีเกิดจากอะไรได้บ้าง? สาเหตุของการเกิดโรคตาบอดสีนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ สามารถเป็นได้ตั้งแต่กำเนิด หรือเป็นได้ในภายหลัง ดังนี้ กรรมพันธุ์หรือเป็นตาบอดสีมาแต่กำเนิด เป็นสาเหตุหลักที่พบบ่อยที่สุด โดยพบในเพศชาย 7% และในเพศหญิงประมาณ 0.5 - 1% อายุเมื่ออายุที่เพิ่มขึ้นส่งผลทำให้เซลล์ต่างๆ ในดวงตาเกิดการเสื่อมสภาพลง โรคเกี่ยวกับดวงตาเช่น โรคต้อหิน จอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก โรคทางกายเช่น โรคต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม เบาหวาน อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน การเกิดอุบัติเหตุกระทบบริเวณดวงตาหรือดวงตาได้รับการบาดเจ็บเสียหาย ผลข้างเคียงจากยาบางชนิดเช่น ยารักษาวัณโรค ยาต้านอาการทางจิตและยาปฏิชีวนะ สารเคมีบางชนิดเช่น สาร Styrene ที่พบในผลิตภัณฑ์พลาสติกหรือโฟม 3 ประเภทของภาวะตาบอดสี หลายคนอาจสงสัยว่าผู้ที่เป็นโรคตาบอดสีมองเห็นสีอย่างไร? ซึ่งก่อนจะเข้าใจเรื่องนี้ ต้องรู้ก่อนว่าตาบอดสีไม่ได้มีแค่แบบเดียว ในทางการแพทย์ โรคตาบอดสีถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก แต่ละประเภทส่งผลต่อการมองเห็นสีที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้     1. ตาบอดสีแดง - เขียว (Red-Green Color Blindness) ผู้ที่มีอาการตาบอดสีแดง - เขียวจะมีความยากลำบากในการแยกแยะระหว่างสองสีนี้ โดยขึ้นอยู่กับเซลล์ Cone ที่ผิดปกติ ผู้ที่มีเซลล์รูปกรวยสีแดงน้อย (Protanomaly) จะเห็นโทนสีแดง ส้ม และเหลืองเป็นโทนสีเขียว หรือหากขาดเซลล์นี้ไป (Protanopia) จะเห็นสีแดงเป็นสีดำ ในทางกลับกัน คนที่มีเซลล์รูปกรวยสีเขียวน้อย (Deuteranomaly) จะมองเห็นโทนสีเขียวเป็นโทนสีแดง และหากขาดเซลล์นี้ไปเลยจะเห็นสีเขียวเป็นสีดำ     2. ตาบอดสีน้ำเงิน - เหลือง (Blue-Yellow Color Blindness) การตาบอดสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน (Tritanomaly) และตาบอดสีเหลือง (Tritanopia) เป็นภาวะที่พบได้น้อยกว่าประเภทอื่น มักเกิดจากโรคมากกว่าพันธุกรรม ผู้ที่มีภาวะนี้จะประสบปัญหาในการแยกแยะระหว่างสีน้ำเงินกับสีเขียว และสีเหลืองกับสีแดง โดยผู้ที่มีเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงินน้อยจะแยกสีน้ำเงินกับสีเขียวได้ยาก ส่วนผู้ที่ไม่มีเซลล์รูปกรวยสีน้ำเงินเลยจะมีปัญหาในการแยกโทนสีที่มีสีน้ำเงินและสีเหลืองผสมอยู่ เช่น สีน้ำเงินกับสีเขียว หรือสีม่วงกับสีแดง     3. ตาบอดสีทั้งหมด (Complete Color Blindness) ผู้ที่มีอาการตาบอดสีทั้งหมด หรือ Monochromacy เกิดจากการที่เซลล์รูปกรวยทั้งหมดไม่ทำงานหรือขาดหายไปจากดวงตา ซึ่งพบได้น้อยมากในปัจจุบัน คนกลุ่มนี้จะเห็นโลกในโทนสีเทาทั้งหมด มีการมองเห็นสลับสีกัน เช่น ระหว่างสีเขียวกับสีน้ำเงิน สีแดงกับสีดำ สีเหลืองกับสีขาว และบางรายอาจมีปัญหาเกี่ยวกับความไวต่อแสงของดวงตาอีกด้วย     ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภาวะตาบอดสี ภาวะตาบอดสีอาจไม่ได้สร้างผลกระทบในเรื่องของการแยกแยะสีเท่านั้น เพราะเมื่อแยกสีได้ลำบากอาจส่งผลกระทบอื่นตามมาด้วย ดังนี้ ปัญหาในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ผู้ที่มีภาวะตาบอดสี โดยเฉพาะในวัยเด็ก มักถูกเข้าใจผิดว่ามีปัญหาการเรียนรู้ เนื่องจากคำตอบหรือการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสีไม่ตรงกับเด็กทั่วไป ซึ่งแท้จริงแล้วยังสามารถเรียนรู้ได้ปกติ เพียงแต่รับรู้สีที่แตกต่างออกไป ทำให้ได้รับผลกระทบในวิชาศิลปะ การประเมินพัฒนาการทางภาษา และการเรียนรู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสี ในส่วนของกิจกรรมอื่นๆ ที่ไม่เน้นสีสันนั้นก็สามารถทำได้ปกติเหมือนคนทั่วไป ขับขี่ยานพาหนะลำบาก โรคตาบอดสีส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องการขับขี่รถยนต์ ผู้ที่มีภาวะนี้ต้องพยายามสังเกตความแตกต่างของไฟจราจรจากความเข้มของสีที่ไม่เท่ากัน ซึ่งถ้าสังเกตได้ก็จะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ การทดสอบตาบอดสีสำหรับใบขับขี่จึงต้องมีการประเมินความสามารถในการแยกแยะสัญญาณไฟจราจรและเกณฑ์อื่นๆ เพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน การประกอบอาชีพจำกัด ผู้ที่มีภาวะตาบอดสีอาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงบางอาชีพเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและผู้อื่น รวมถึงเพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน อาชีพที่ต้องพึ่งพาการแยกแยะสีอย่างแม่นยำ เช่น นักบิน ผู้ทำงานกับสารเคมี จิตรกร หรือนักออกแบบกราฟิก อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะนี้ เนื่องจากความคลาดเคลื่อนในการมองเห็นสีอาจส่งผลต่อคุณภาพงานหรือก่อให้เกิดอันตรายได้ ตาบอดสีสังเกตเห็นได้ตั้งแต่อายุเท่าไร? โดยปกติ ตาบอดสีที่เกิดจากกรรมพันธุ์สามารถสังเกตได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กอาจแสดงอาการผ่านการแยกสีของวัตถุ ของเล่น หรือสีในหนังสือภาพไม่ถูกต้อง คุณครูและผู้ปกครองควรสังเกตพฤติกรรมเช่นการเลือกสีผิดหรือสับสนระหว่างสีที่ใกล้เคียงกัน หากมีข้อสงสัยควรพาเด็กไปตรวจตาเพื่อการวินิจฉัยที่แน่ชัด ตาบอดสีรักษาได้ไหม? รักษาได้อย่างไร โรคตาบอดสีที่เกิดจากพันธุกรรมไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเกิดจากความผิดปกติของเซลล์รูปกรวยที่น้อยหรือขาดหายไป ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวิธีทดแทน ส่วนตาบอดสีที่เกิดจากโรคหรือยาบางชนิด อาจมีโอกาสดีขึ้นหากรักษาสาเหตุ อย่างไรก็ตาม มีอุปกรณ์ช่วยบรรเทาอาการได้ เช่น แว่นกรองสีหรือคอนแท็กต์เลนส์สีชั่วคราว ที่ช่วยเพิ่มความเข้มของสีทำให้แยกสีได้ดีขึ้น จักษุแพทย์จะทำการตรวจสายตาเพื่อประเมินและวินิจฉัยภาวะตาบอดสี โดยเริ่มจากการใช้แผ่นทดสอบอิชิฮารา (Ishihara test) ให้ผู้ป่วยอ่านตัวเลขหรือลากเส้นภาพที่มีสีที่คนตาบอดสีมักสับสน ต่อมาใช้เครื่อง Anomaloscope ทดสอบการผสมสีเพื่อวัดความบกพร่องในการมองเห็นสีแดงและสีเขียว และสุดท้ายทำการทดสอบ Farnsworth Munsell โดยให้เรียงฝาครอบสีที่คล้ายกันต่อเนื่องกัน เพื่อคัดกรองระดับความบกพร่องในการมองเห็นสีตั้งแต่ระดับน้อยจนถึงมาก     วิธีทดสอบตาบอดสีด้วยตัวเอง แบบทดสอบ Ishihara ใช้งานอย่างไร? แบบทดสอบIshiharaเป็นวิธีตรวจตาบอดสีที่ได้รับความนิยม ประกอบด้วยภาพวงกลมที่มีจุดสีต่างๆ ซึ่งซ่อนตัวเลขหรือลวดลายไว้ภายใน ผู้ที่มีอาการตาบอดสีจะมองเห็นตัวเลขผิดไปจากคนปกติหรือมองไม่เห็นเลย สามารถทดสอบเบื้องต้นได้ผ่านแบบทดสอบออนไลน์ แต่หากต้องการผลที่แม่นยำควรเข้ารับการตรวจจากจักษุแพทย์โดยตรง เมื่อไรที่ควรตรวจตาบอดสี? เมื่อไรควรตรวจตาบอดสี? เด็กที่มีปัญหาเรื่องการแยกสีตั้งแต่อายุยังน้อยควรเข้ารับการตรวจ รวมถึงผู้ที่ต้องการสอบเข้าวิชาชีพที่ต้องใช้การแยกสี เช่น นักบิน วิศวกร หรือช่างเทคนิค ผู้ที่สงสัยว่าตัวเองมีภาวะตาบอดสี และผู้ที่มีปัญหาทางสายตาหรือได้รับยาที่อาจส่งผลต่อการมองเห็นสีก็ควรได้รับการตรวจเช่นกัน เลือกตรวจตาบอดสีที่ไหนดี? การเลือกสถานที่ตรวจตาบอดสีควรคำนึงถึงคุณภาพและความเชี่ยวชาญเป็นหลัก โดยควรเลือกศูนย์ตรวจตาที่มีจักษุแพทย์เฉพาะทางและอุปกรณ์ทันสมัยครบครัน โรงพยาบาลตาหรือคลินิกเฉพาะทางที่ได้มาตรฐานจะสามารถวินิจฉัยภาวะตาบอดสีได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้คุณได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับการดูแลสายตาต่อไป ตรวจตาบอดสีที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร แนะนำให้เข้ามาตรวจตาบอดสีได้ที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่โดดเด่นด้านการรักษาอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา ด้วยบุคลากรทางการแพทย์มากความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับดวงตา และจุดเด่นดังนี้ โรงพยาบาลมีจักษุแพทย์มากประสบการณ์ พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับอาการผิดปกติ และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เทคโนโลยีสำหรับการรักษาดวงตาสมัยใหม่ เครื่องมือได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อการรักษาดวงตาอย่างแม่นยำและปลอดภัย พร้อมให้การรักษาอย่างครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย การรักษา ไปจนถึงการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจในการบริการ พร้อมบรรยากาศของโรงพยาบาลที่เป็นกันเอง สรุป ตาบอดสีเป็นภาวะที่ส่งผลต่อการแยกแยะสี อาจมีสาเหตุเกิดจากพันธุกรรม โรคทางตา หรือปัจจัยอื่นๆ การตรวจวินิจฉัยทำได้ง่ายด้วยแบบทดสอบ Ishihara และวิธีอื่นๆ ผู้ที่สงสัยว่าตัวเองมีอาการควรเข้ารับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินแนวทางการดูแลที่เหมาะสม ศูนย์ตรวจตาที่มีมาตรฐานและน่าเชื่อถือสามารถให้การวินิจฉัยและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตประจำวันกับภาวะตาบอดสีได้อย่างมีคุณภาพ สำหรับคนที่อยากตรวจตาบอดสี แนะนำมาที่Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ)โรงพยาบาลเฉพาะทางที่มีทีมแพทย์มากประสบการณ์ อุปกรณ์ที่ทันสมัย ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล มั่นใจได้ว่าการรักษาเป็นไปอย่างถูกต้อง แม่นยำ และปลอดภัย
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

5 สุดยอดอาหารบำรุงจอประสาทตา

5 สุดยอดอาหารบำรุงจอประสาทตา :  เสริมแกร่งสายตาคู่ใจ เพื่อการมองเห็นที่คมชัด จอประสาทตา คือ อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่รับภาพและส่งสัญญาณไปยังสมอง ทำให้เรามองเห็นโลกอันสวยงามรอบตัวเรา การดูแลรักษาจอประสาทตาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากเกิดความเสียหายขึ้น อาจส่งผลต่อการมองเห็นอย่างถาวรได้ นอกจากการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยบำรุงและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับจอประสาทตาได้ อาหาร 5 ชนิด ที่ช่วยบำรุงจอประสาทตา และความสำคัญของสารอาหารแต่ละชนิดในอาหาร 1.    ผักใบเขียวเข้ม : ผักใบเขียว เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม และผักบุ้ง อุดมไปด้วยลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องจอประสาทตาจากแสงสีฟ้าและรังสียูวี o    ลูทีนและซีแซนทีน : ทำหน้าที่เป็นเหมือน “แว่นกันแดดภายใน” ช่วยกรองแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ (Age-related Macular Degeneration - AMD) อ้างอิงจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Ophthalmology 2.    ปลาที่มีไขมันสูง : ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาแมคเคอเรล เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการรักษาสุขภาพของจอประสาทตา o    กรดไขมันโอเมก้า-3 : ช่วยลดการอักเสบและป้องกันจอประสาทตาแห้ง นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าโอเมก้า-3 อาจช่วยชะลอการลุกลามของโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ อ้างอิงจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Ophthalmology 3.    ไข่ : ไข่แดงอุดมไปด้วยลูทีน ซีแซนทีน และสังกะสี o    สังกะสี : ช่วยในการขนส่งวิตามินเอไปยังจอประสาทตา ซึ่งวิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการมองเห็นในที่แสงน้อย การขาดสังกะสีอาจนำไปสู่ภาวะตาบอดกลางคืนได้ 4.    ผลไม้ตระกูลเบอร์รี : บลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี และราสเบอร์รี เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ o    สารต้านอนุมูลอิสระ : ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาจากความเสียหาย และยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังดวงตา ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพตาโดยรวม 5.    ถั่วและเมล็ดพืช : อัลมอนด์ วอลนัท และเมล็ดทานตะวัน เป็นแหล่งของวิตามินอี o    วิตามินอี : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา วิตามินอียังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อมตามที่ระบุในวารสารทางการแพทย์หลายฉบับ เมนูอาหารบำรุงสายตาที่คุณสามารถทำเองได้ง่ายๆ สลัดผักโขมกับปลาแซลมอนย่าง : อุดมไปด้วยลูทีน ซีแซนทีน และโอเมก้า-3 ไข่เจียวใส่ผัก : ได้รับทั้งลูทีน ซีแซนทีน และสังกะสี โยเกิร์ตกับผลไม้รวมและถั่ว : รวมสารอาหารบำรุงสายตาหลายชนิดไว้ในเมนูเดียว น้ำปั่นบลูเบอร์รี : ดื่มง่าย ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเต็มๆ ผลงานวิจัยสนับสนุน งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Ophthalmology พบว่า การรับประทานอาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมขั้นสูงได้ งานวิจัยในวารสาร Archives of Ophthalmology ระบุว่า ผู้ที่รับประทานปลาที่มีไขมันสูงเป็นประจำ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมน้อยกว่าผู้ที่ไม่ค่อยรับประทาน  ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ เรามีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านจอประสาทตา พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย คอยให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคทางจอประสาทตาอย่างครบวงจรหากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพตา หรือต้องการเข้ารับการตรวจเช็คสุขภาพตา สามารถติดต่อได้ที่ 02-511-2111 ศูนย์รักษาจอประสาทตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ ได้ทันที เราพร้อมดูแลดวงตาของคุณ เพื่อให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจน สุขภาพตาที่ดี เริ่มต้นจากการใส่ใจ
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

จอประสาทตา: กุญแจสำคัญสู่โลกที่สดใส - ใส่ใจสุขภาพดวงตา ตรวจเช็กก่อนสาย

"จอประสาทตา" กุญแจสำคัญสู่โลกที่สดใส ดวงตา คือ หน้าต่างที่เปิดให้เราเห็นโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความงดงามนั้น มี "จอประสาทตา" หรือเรตินา ทำหน้าที่เสมือนกล้องถ่ายรูปที่มีความละเอียดสูงสุด คอยบันทึกทุกภาพที่เราเห็น แปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วส่งต่อไปยังสมอง ให้เราได้สัมผัสกับสีสัน ความเคลื่อนไหว และรายละเอียดต่างๆ รอบตัว จอประสาทตา สำคัญอย่างไร? ลองนึกภาพว่า หาก "กล้อง" หรือจอประสาทตาของเราเกิดขีดข่วนหรือเสียหาย ภาพที่ออกมาก็จะเบลอ พร่ามัว ไม่คมชัด จอประสาทตาก็เช่นกัน หากเกิดความผิดปกติจะส่งผลโดยตรงต่อการมองเห็น อาจเริ่มจากตามัว มองเห็นภาพบิดเบี้ยว จนลุกลามถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อคุณภาพชีวิต ภัยเงียบที่จ้องคุกคาม : โรคจอประสาทตา โรคจอประสาทตามีหลายชนิด บางชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ค่อยๆ ทำลายการมองเห็นอย่างช้าๆ จึงเป็น "ภัยเงียบ" ที่เราต้องตระหนักและหมั่นตรวจเช็คสุขภาพดวงตาอยู่เสมอ ตัวอย่างโรคจอประสาทตาที่พบบ่อย ได้แก่ :       • จอประสาทตาเสื่อม : พบมากในผู้สูงอายุ ทำให้สูญเสียการมองเห็นบริเวณกลางภาพ ส่งผลต่อการอ่านหนังสือ การขับรถ และกิจวัตรประจำวันอื่นๆ       • เบาหวานขึ้นจอประสาทตา : ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดที่จอประสาทตาผิดปกติ อาจนำไปสู่การมองเห็นภาพซ้อน หรือสูญเสียการมองเห็นได้       • จอประสาทตาฉีกขาด : เกิดจากการลอกตัวของชั้นจอประสาทตา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างกะทันหัน จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ในโอกาสวันจอประสาทตาโลกนี้ โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ ขอเชิญชวนทุกท่านมาดูแลและใส่ใจสุขภาพดวงตา โดยเฉพาะการตรวจเช็คจอประสาทตาเป็นประจำเพื่อป้องกันและรักษาความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคทางตา ศูนย์รักษาจอประสาทตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ: มั่นใจ..ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง เรามีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านจอประสาทตา พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย คอยให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคจอประสาทตาอย่างครบวงจร ด้วยความใส่ใจและมาตรฐานระดับสากล เพื่อให้คุณมั่นใจว่าดวงตาของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด  

ที่อยู่

ศูนย์โรคจอประสาทตา - โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ

10/989 ซ.ประเสริฐมนูกิจ 33 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร 10230

ช่องทางติดต่อ

LINE
calling
ติดต่อเรา :