มุมสุขภาพตา

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษากระจกตา

ตาแห้งมีอาการอย่างไร วิธีรักษา ป้องกัน และพฤติกรรมที่ช่วยลดอาการตาแห้ง

อาการตาแห้ง คือภาวะตาขาดความชุ่มชื้นเพราะการผลิตน้ำตาน้อยเกินไปหรือคุณภาพน้ำตาไม่ดี ทำให้เกิดอาการระคายเคืองและไม่สบายตาได้ ตาแห้งเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้นทำให้การผลิตน้ำตาน้อยลง การสวมใส่คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป การจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมถึงผลข้างเคียงจากยาบางชนิด การรักษาตาแห้งทำได้หลายวิธี เช่น ยาหยอดตา น้ำตาเทียม การประคบอุ่น และการรักษาด้วยยาลดการอักเสบ รักษาอาการตาแห้งที่ Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการรักษาที่เหมาะสมกับอาการ   ตาแห้งเป็นโรคที่ทำให้ตารู้สึกแห้งและระคายเคือง เนื่องจากการผลิตน้ำตาลดลงหรือคุณภาพของน้ำตาไม่ดีพอ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หากดูแลอย่างถูกวิธี จะช่วยลดอาการและป้องกันภาวะตาแห้งในระยะยาว มาหาสาเหตุของอาการตาแห้ง วิธีรักษา รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้งได้ในบทความนี้     อาการตาแห้ง คืออะไร? ก่อนทำความรู้จักกับอาการตาแห้ง ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘น้ำตา’ กันก่อน โดยน้ำตามีความสำคัญต่อดวงตา เป็นตัวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา ทำให้มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจน หล่อเลี้ยงเลี้ยงกระจกตาด้วยออกซิเจน และป้องกันการติดเชื้อและสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาทำร้ายดวงตา ตาแห้ง เป็นอาการที่ปริมาณน้ำตาที่เข้ามาหล่อเลี้ยงผิวตามีไม่เพียงพอส่งผลให้ผิวตาอักเสบได้ โดยอาการของตาแห้งอาจเริ่มจากการแสบตา หรือรู้สึกระคายเคืองเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา รวมถึงอาจพบอาการตาแดง เจ็บ หรือมีการพร่ามัวที่ดีขึ้นเมื่อกะพริบตา นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกฝืดๆ หนักๆ ที่ตา หรือลืมตาลำบาก และบางครั้งอาจมีอาการตาล้าหรือมีน้ำตาไหลมากผิดปกติ     ทำไมถึงมีอาการตาแห้งได้ ตาแห้งเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความสบายของดวงตาและการมองเห็น โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นเวลานานเกินไป อาการภูมิแพ้ที่ตาซึ่งอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่มีฝุ่น ควัน หรือมลภาวะ อยู่ในที่ร้อน ลมแรง หรือความชื้นต่ำ ความผิดปกติของต่อมไขมันขอบตา การพบตัวไร (Demodex blepharitis) บริเวณโคนขนตา ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำตา การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้แพ้ ยาต้านซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะในเพศหญิงที่อาจทำให้คุณภาพของน้ำตาลดลง     อาการตาแห้งเกิดจากอะไร มีปัจจัยอะไรบ้าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการผลิตน้ำตาหรือการทำงานของต่อมน้ำตา หากมีลักษณะดังต่อไปนี้ จะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ง่ายขึ้น สร้างน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ  (Aqueous Tear Deficiency) กลุ่มคนที่มีความผิดปกติหรือปัจจัยที่ส่งผลให้สามารถสร้างน้ำตาได้น้อย ได้แก่   กลุ่มคนที่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome โรครูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือภาวะที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน เช่น Primary Sjogren’s Syndrome กลุ่มคนที่ไม่เป็นโรค Sjogren’s Syndrome เช่น ต่อมน้ำตาทำงานผิดปกติตั้งแต่เกิด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง การแพ้ยารุนแรง หรือการอักเสบที่ทำให้ท่อน้ำตาตัน กลุ่มคนที่ฮอร์โมนเปลี่ยน มักพบในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งผลให้การผลิตน้ำตาและสารคัดหลั่งอื่นๆ ในร่างกายลดลง การกินยาบางประเภท เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาลดความดันโลหิต หรือยาคลายเครียดบางชนิด ที่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ อาจทำให้ตาแห้งมากขึ้น เนื่องจากสารเหล่านี้สามารถลดการผลิตน้ำตาได้ น้ำตาระเหยเร็ว (Evaporative Dry Eyes)  ปัจจัยที่ส่งผลให้การระเหยของน้ำตาเกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ ได้แก่   ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ เปลือกตาอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของชั้นไขมัน จะทำให้การสร้างน้ำตาชั้นน้ำมันลดลง ซึ่งทำให้เกิดการระเหยของน้ำตาได้เร็วขึ้น ความผิดปกติของเปลือกตา การปิดตาไม่สนิทหรือการกะพริบตาน้อยผิดปกติ ซึ่งทำให้การกระจายน้ำตาผิดปกติ และเพิ่มการระเหยของน้ำตา โดนสารเคมีหรือแพ้ยารุนแรง การอักเสบของเยื่อบุตาอาจทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งส่งผลต่อการสร้างน้ำตาชั้นเมือกที่ติดกับกระจกตา ทำให้การสร้างน้ำตาผิดปกติ การใช้สายตามาก พบมากในวัยทำงานจากพฤติกรรมจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ โดยไม่ค่อยกะพริบตา และการใส่คอนแท็กต์เลนส์ที่ดูดน้ำออกจากดวงตา ทำให้การผลิตน้ำตาลดลงและน้ำตาระเหยเร็ว     วิธีรักษาหรือวิธีแก้โรคตาแห้ง วิธีรักษาโรคตาแห้งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการของแต่ละบุคคล โดยใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ดังนี้ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตาแห้ง ควรหลีกเลี่ยงการโดนลมแรง ฝุ่นควัน หรือแสงจ้า โดยการใส่แว่นกันแดดและแว่นกันลม เพื่อป้องกันสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ตาแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนแท็กต์เลนส์เป็นเวลานานๆ เพื่อไม่ให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงจากดวงตาที่อาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้ ใช้น้ำตาเทียม ในการรักษาอาการตาแห้ง น้ำตาเทียมเป็นตัวช่วยที่ดี โดยมี 2 ชนิดให้เลือกใช้ ได้แก่   น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย ในรูปแบบขวด ควรใช้ไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน อาจแบ่งการใช้ยาเพิ่มน้ำตาตามช่วงเวลาของวัน เช่น เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน ซึ่งเหมาะสำหรับอาการตาแห้งที่ไม่รุนแรง น้ำตาเทียมที่ไม่มีสารกันเสีย แบบกระเปาะ เปิดแล้วมีอายุ 24 ชั่วโมง หรือขวดที่มีระบบวาล์วพิเศษใช้ได้นาน 6 เดือน ใช้บ่อยได้ตามต้องการ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง เหมาะกับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง  ใช้ยาหยอดตาเพิ่มปริมาณน้ำตา มียาหยอดตาที่ช่วยเพิ่มน้ำตาและรักษาอาการตาแห้งได้ โดยแต่ละชนิดจะช่วยรักษาตามอาการที่แตกต่างกัน ดังนี้   ยา Diquafosol ช่วยเพิ่มการสร้างน้ำตาชั้นเมือกและชั้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาและลดอาการแห้ง ยาปฏิชีวนะ Doxycycline ยาลดการอักเสบของเปลือกตาช่วยลดการอักเสบและอาการระคายเคืองที่เกิดจากตาแห้ง ยากลุ่ม Steroids โดยยานี้ช่วยบรรเทาการอักเสบของผิวตาและลดอาการระคายเคืองที่เกิดจากการขาดน้ำตา ยา Cyclosporine ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressant) ชนิดหยอดตา ช่วยลดการอักเสบในตาและเพิ่มการผลิตน้ำตา โดยการปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งสามารถช่วยลดอาการตาแห้งได้ การทำความสะอาดเปลือกตา การทำความสะอาดเปลือกตาและประคบอุ่นด้วยแชมพูเด็กผสมเจือจางหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาช่วยลดการอุดตันของต่อมไขมันในเปลือกตา ทำให้ชั้นไขมันที่เคลือบน้ำตาทำงานได้ดีขึ้น ช่วยป้องกันน้ำตาระเหยเร็วและลดอาการตาแห้ง ใช้ Autologous Serum การรักษาอาการตาแห้งชนิดรุนแรงโดยใช้สารที่ช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อทำได้โดยการเจาะเลือดจากผู้ป่วยไปปั่นแยกเป็น Serum และนำมาหยอดร่วมกับการใช้น้ำตาเทียม ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบของเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ และส่งเสริมการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อให้กลับสู่สภาพปกติได้ดีขึ้น การอุดท่อระบายน้ำตาที่หัวตา (Punctal Plug) การรักษาอาการตาแห้งที่รุนแรงทำได้โดยการอุดช่องทางที่น้ำตาไหลออกจากตา (Punctum) ซึ่งมีทั้งชนิดอุดชั่วคราวและชนิดอุดถาวร โดยการใส่ Silicone Plug หรือ Punctal Cautery ซึ่งเป็นการจี้บริเวณช่องทางที่น้ำตาระบายออกจากตา วิธีนี้ช่วยให้ดวงตาเก็บน้ำตาไว้ได้นานขึ้น ลดการระเหยของน้ำตา และช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ในกรณีที่อาการรุนแรงมาก     การปรับพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการตาแห้ง การป้องกันอาการตาแห้งทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ดังนี้    หยุดพักจากการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือทุกๆ 20 นาที โดยการหลับตาสัก 20 วินาที หรือมองสิ่งที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต เพื่อให้ตาได้พักและผ่อนคลาย งดการใช้คอนแท็กต์เลนส์ต่อเนื่อง ควรสลับใส่แว่นในระหว่างวันเพื่อให้ดวงตาได้พัก ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือมือถือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อช่วยลดความเครียดของดวงตา เตือนตัวเองให้กะพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้น้ำตาเคลือบตาและช่วยลดการระเหยของน้ำตา หากอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้ง ร้อน หรือมีลมแรง ควรสวมแว่นกันแดดกันลมเพื่อปกป้องตาจากสภาพแวดล้อม กินอาหารที่ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะผัก ผลไม้ ปลา หรืออาหารที่มีโอเมกา 3 ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบของตา  ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน สรุป ตาแห้งคืออาการที่น้ำตาผลิตไม่เพียงพอหรือระเหยเร็วเกินไป ทำให้ดวงตารู้สึกแห้ง ระคายเคือง และอาจเกิดการอักเสบได้ รักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้น้ำตาเทียม ประคบอุ่น ใช้ยาเพื่อเพิ่มการสร้างน้ำตาหรือลดการอักเสบ และป้องกันตาแห้งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ดวงตา รวมถึงการใช้ยาเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา  สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งรุนแรง รับการรักษาได้ที่ ศูนย์โรคจักษุประสาทวิทยา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ซึ่งให้การดูแลปัญหาตาแห้งที่ส่งผลต่อการมองเห็นและระบบประสาท โดยจักษุแพทย์ในการวินิจฉัยและรักษาภาวะตาแห้งอย่างครบวงจร

อาการตาแห้งหลังทำเลสิกเกิดจากอะไร และวิธีดูแลตัวเองที่ถูกต้อง

อาการตาแห้งหลังทำเลสิกเกิดจากการผ่าตัดที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมน้ำตา ทำให้น้ำตาผลิตน้อยลงและชั้นน้ำตาสูญเสียความสมดุล ส่งผลให้ดวงตาขาดความชุ่มชื้นและแห้งง่ายขึ้น ตาแห้งหลังทำเลสิกมักไม่อันตราย แต่ถ้าไม่ดูแลอาจทำให้ระคายเคืองหรือเสี่ยงติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์หากอาการรุนแรงหรือไม่หายเอง น้ำตาเทียมหลังทำเลสิกช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น บรรเทาอาการตาแห้งและระคายเคือง ช่วยให้ดวงตาฟื้นตัวเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน หลังทำเลสิก หลายคนอาจพบอาการตาแห้งซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยและสร้างความไม่สบายตาได้อย่างมาก การเข้าใจสาเหตุและวิธีดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้น้ำตาเทียมหรือปรับพฤติกรรม จะช่วยให้ฟื้นฟูสุขภาพตาได้รวดเร็วและปลอดภัย พร้อมกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมากขึ้น     สาเหตุของอาการตาแห้งหลังทำเลสิก สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการตาแห้งหลังทำเลสิกคือกระบวนการผ่าตัดที่ส่งผลกระทบต่อระบบการทำงานของดวงตาชั่วคราว เช่น   การตัดชั้นกระจกตา ในระหว่างการผ่าตัดเลสิก เลเซอร์จะทำการเปิดชั้นกระจกตา (Corneal Flap) ซึ่งทำให้เส้นประสาทบริเวณกระจกตาบางส่วนถูกตัดขาด เส้นประสาทเหล่านี้มีหน้าที่ส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อกระตุ้นการผลิตน้ำตา เมื่อถูกตัดขาดจึงทำให้การผลิตน้ำตาลดลงชั่วคราว   การอักเสบของผิวกระจกตา การผ่าตัดเลสิกทำให้เกิดการอักเสบเล็กน้อยบริเวณผิวกระจกตา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสมดุลของชั้นน้ำตา (Tear Film) ชั้นน้ำตาที่ปกติจะช่วยหล่อลื่นและปกป้องดวงตา แต่เมื่อชั้นน้ำตาสูญเสียความสมดุล น้ำตาจะระเหยเร็วขึ้นกว่าปกติ ทำให้ดวงตาขาดความชุ่มชื้น เกิดอาการตาแห้ง แสบตา และรู้สึกไม่สบายตาได้ง่ายหลังผ่าตัด ดังนั้นจึงควรดูแลตัวเองโดยหยอดน้ำตาเทียมบ่อยๆ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบรรเทาอาการเหล่านี้   ภาวะตาแห้งเดิม ผู้ที่มีภาวะตาแห้งอยู่แล้วก่อนการผ่าตัดเลสิก อาจมีอาการตาแห้งหลังทำเลสิกรุนแรงขึ้น เนื่องจากกระบวนการผ่าตัดส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมน้ำตาและชั้นน้ำตาอยู่แล้ว ทำให้ดวงตาขาดความชุ่มชื้นมากขึ้น ส่งผลให้อาการแสบตา ตาแห้ง และระคายเคืองมีความรุนแรงและเกิดบ่อยขึ้นกว่าปกติ จึงควรแจ้งจักษุแพทย์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด และเตรียมตัวดูแลดวงตาอย่างใกล้ชิดหลังผ่าตัด   ตาแห้งหลังทำเลสิก อันตรายไหม อาการตาแห้งหลังทำเลสิกเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยและโดยส่วนใหญ่ไม่ถือว่าเป็นอันตรายรุนแรง แต่อาจทำให้รู้สึกไม่สบายตา แสบตา หรือระคายเคืองได้ในช่วงเวลาหนึ่งหลังผ่าตัด สาเหตุหลักเกิดจากกระบวนการผ่าตัดที่ส่งผลต่อการทำงานของต่อมน้ำตาและชั้นน้ำตา ทำให้น้ำตาผลิตน้อยลงหรือลดคุณภาพลง ถ้าได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ อาการตาแห้งมักจะดีขึ้นและหายไปเองในไม่กี่สัปดาห์ถึงเดือน     ความสำคัญของน้ำตาเทียมหลังทำเลสิก วิธีที่ดีที่สุดในการบรรเทาอาการตาแห้งหลังทำเลสิก คือการหยอดน้ำตาเทียมบ่อยๆ ตามคำแนะนำแพทย์ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกที่แพทย์มักแนะนำให้หยอดเมื่อตาแห้ง น้ำตาเทียม (Artificial Tears) ประกอบด้วยสารเพิ่มความชุ่มชื้น เช่น ไฮโปรเมลโลส โซเดียมไฮยาลูโรเนต และคาร์บอกซิเมทิลเซลลูโลส เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ทำเลสิกทุกคน เพราะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดอาการแสบตา และบรรเทาภาวะตาแห้ง (Dry eye) ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยในช่วง 6 เดือนแรกหลังผ่าตัด เลสิกส่งผลให้กระจกตาถูกกระทบและลดการผลิตน้ำตา ทำให้ตาแห้งหลังทำเลสิกมากขึ้น     ควรเลือกใช้น้ำตาเทียมชนิดไหนหลังทำเลสิก น้ำตาเทียมที่มีจำหน่ายในท้องตลาดปัจจุบันมีหลายชนิดและสูตรแตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะกับความต้องการและอาการของผู้ใช้แต่ละราย ได้แก่ น้ำตาเทียมชนิดไม่มีสารกันเสียบรรจุในหลอดเล็ก ใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมงหลังเปิด ใช้แล้วรู้สึกสบายตาและมีความเสี่ยงแพ้น้อยกว่าชนิดมีสารกันเสีย แต่มีราคาสูงกว่า     วิธีดูแลตัวเองเพื่อบรรเทาอาการตาแห้งหลังทำเลสิก การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอนอกจากการหยอดน้ำตาเทียม ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบรรเทาอาการตาแห้งและช่วยให้ดวงตาฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ โดยสามารถปฏิบัติดูแลได้ดังนี้   พักสายตาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันและบรรเทาอาการตาแห้งหลังทำเลสิก ควรหลีกเลี่ยงการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานๆ และใช้หลักการ “20-20-20” คือ ทุก 20 นาที ให้พักสายตาโดยมองวัตถุที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต (หรือประมาณ 6 เมตร) เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อช่วยลดความเมื่อยล้าและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา   ใส่ฝาครอบตาจนครบกำหนด หลังการผ่าตัดทำเลสิก แพทย์จะใช้ฝาครอบตาปิดดวงตาเพื่อปกป้องจากสิ่งสกปรกและป้องกันการสัมผัสที่อาจทำให้เกิดการอักเสบได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตาแห้งหลังทำเลสิกซึ่งตาอาจไวต่อการระคายเคือง จึงควรปิดฝาครอบตาไว้อย่างเคร่งครัดจนกว่าจะครบกำหนดตามคำสั่งแพทย์ ยกเว้นในกรณีที่ต้องใช้ยาหยอดตามที่แพทย์แนะนำเท่านั้น โดยปกติจะปิดเเค่วันแรกหลังทำและหลังจากนั้น ทุกครั้งก่อนนอนเป็นเวลา 1 สัปดาห์   หลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ทำให้ตาแห้ง ควรงดอยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมที่เป่าลมตรงเข้าหน้าโดยตรง รวมถึงหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีลมแรงหรือมีควัน เนื่องจากสภาพแวดล้อมเหล่านี้จะทำให้ดวงตาแห้งและระคายเคืองมากขึ้น หลังทำเลสิก การใช้น้ำตาเทียมหลังทำเลสิกเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบรรเทาอาการตาแห้งที่อาจเกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมดังกล่าว   ระวังไม่ให้น้ำโดนบริเวณดวงตา งดกิจกรรมที่ทำให้ดวงตาสัมผัสน้ำโดยตรง เช่น การว่ายน้ำ ล้างหน้าแรงๆ หรือการใช้น้ำฉีดบริเวณดวงตา เพราะน้ำอาจทำให้แผลผ่าตัดติดเชื้อหรือลดประสิทธิภาพการฟื้นตัวได้ นอกจากนี้ดวงตาที่มีอาการตาแห้งหลังทำเลสิกยิ่งต้องได้รับการดูแลอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันการระคายเคืองและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ควรใช้น้ำตาเทียมตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและบรรเทาอาการ   งดแต่งหน้ารอบดวงตา เนื่องจากดวงตาหลังทำเลสิกยังคงมีความบอบบางและไวต่อการระคายเคือง โดยเฉพาะในช่วงที่อาการตาแห้งหลังทำเลสิกยังไม่หายดี เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดความเสี่ยงต่อการระคายเคือง หากมีความจำเป็นควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดในการดูแลดวงตาหลังผ่าตัด โดยปกติแพทย์จะแนะนำให้แต่งหน้าได้หลังจากการตรวจครบรอบ 1 สัปดาห์หลังทำเลสิก   หลีกเลี่ยงฝุ่นละอองหลังทำเลสิก การสัมผัสกับฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกต่างๆ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือแม้แต่ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีอาการตาแห้งหลังทำเลสิก ซึ่งดวงตามีความไวและขาดความชุ่มชื้น การหลีกเลี่ยงฝุ่นละอองจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยปกป้องดวงตาและเร่งกระบวนการฟื้นฟู ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีฝุ่นเยอะ สวมแว่นตากันลมหรือหน้ากากป้องกันเมื่อจำเป็น และทำความสะอาดมือก่อนสัมผัสดวงตาเพื่อป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติม   บำรุงดวงตาหลังทำเลสิก การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอช่วยส่งเสริมให้ร่างกายผลิตน้ำตาได้ดีขึ้น ทำให้ดวงตามีความชุ่มชื้นมากขึ้น ส่วนการรับประทานอาหารเสริมจำพวกโอเมกา 3 เช่น น้ำมันปลา หรือเมล็ดแฟลกซ์ ช่วยปรับปรุงคุณภาพของน้ำตา ทำให้ดวงตาสุขภาพดีและลดอาการตาแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ   สรุป อาการตาแห้งหลังทำเลสิกเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เนื่องจากกระบวนการผ่าตัดส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำตา ทำให้ดวงตาขาดความชุ่มชื้นและเกิดอาการระคายเคืองได้ การดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง เช่น การหยอดน้ำตาเทียมแบบปราศจากสารกันเสียอย่างสม่ำเสมอ การดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงฝุ่นละออง ช่วยบรรเทาอาการและเร่งการฟื้นฟูสุขภาพตา น้ำตาเทียมมีหลายชนิด ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมตามคำแนะนำแพทย์ โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ (Bangkok Eye Hospital) ให้บริการทำเลสิกด้วยเทคโนโลยีทันสมัย พร้อมคำแนะนำดูแลหลังผ่าตัด เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยทุกคน   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการตาแห้งหลังทำเลสิก (FAQ) คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการตาแห้งหลังทำเลสิกจะช่วยไขข้อสงสัยและให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การดูแลตัวเอง และวิธีป้องกัน เพื่อให้ผู้ที่ผ่านการทำเลสิกเข้าใจและรับมือกับภาวะตาแห้งได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น   อาการตาแห้งหลังทำเลสิกจะอยู่นานแค่ไหน โดยทั่วไปอาการตาแห้งจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปเองภายใน 3-6 เดือนหลังการผ่าตัด เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่เส้นประสาทบริเวณกระจกตาจะเริ่มฟื้นตัวและกลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่ในบางรายอาจใช้เวลานานกว่านั้นเล็กน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล   ควรใช้น้ำตาเทียมชนิดไหนถึงจะดีที่สุด จักษุแพทย์มักจะแนะนำให้ใช้น้ำตาเทียมชนิด “ปราศจากสารกันเสีย” (Preservative-Free) เพราะน้ำตาเทียมชนิดนี้จะอ่อนโยนต่อดวงตาและสามารถหยอดได้บ่อยเท่าที่ต้องการโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง นอกจากนี้ควรเลือกใช้น้ำตาเทียมตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด   หากมีอาการตาแห้ง สามารถใส่คอนแท็กต์เลนส์ได้ไหม ไม่ควรใส่คอนแท็กต์เลนส์ การใส่คอนแท็กต์เลนส์ในช่วงที่ดวงตากำลังฟื้นตัวจะทำให้เกิดการเสียดสีและระคายเคืองมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการสมานแผลและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย  

Computer Vision Syndrome คืออะไร? จ้องจอนานไป อาจเป็นไม่รู้ตัว

Computer Vision Syndrome คืออาการเมื่อยล้าดวงตาจากการใช้หน้าจอดิจิทัลเป็นเวลานาน เช่น คอมพิวเตอร์หรือมือถือ อาการของ Computer Vision Syndrome ได้แก่ ตาแห้ง แสบตา ปวดตา ตามัว ปวดหัว และปวดคอหรือไหล่ ป้องกัน Computer Vision Syndrome ได้โดยพักสายตาบ่อยๆ ปรับแสงหน้าจอให้พอดี จัดท่านั่งให้เหมาะสม ใช้แว่นกรองแสง และกะพริบตาบ่อยๆ ยุคที่ทุกอย่างอยู่บนหน้าจอ ไม่ว่าจะทำงาน เรียน หรือพักผ่อน ดวงตาของเราต้องรับภาระหนักกว่าที่คิด หากคุณเคยรู้สึกตาแห้ง แสบตา มองไม่ชัด หรือปวดศีรษะหลังจากจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน อาจไม่ใช่แค่อาการล้า แต่คือ “Computer Vision Syndrome” หรือกลุ่มอาการที่เกิดจากการใช้สายตาหน้าจอมากเกินไป บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักอาการนี้ พร้อมวิธีป้องกันและดูแลรักษาดวงตาให้ใช้งานได้อย่างยั่งยืนในโลกดิจิทัล     Computer Vision Syndrome คืออะไร? โรค Computer Vision Syndrome (CVS) คือกลุ่มอาการทางตาและการมองเห็นที่เกิดจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือมือถือเป็นเวลานาน โดยเฉพาะเมื่อมองจอในระยะใกล้เกินไป (น้อยกว่าครึ่งฟุตหรือประมาณ 6 นิ้ว) อาการจะรุนแรงขึ้นตามระยะเวลาที่ใช้งานหน้าจอ ซึ่งโรคนี้พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีความเสี่ยงมากขึ้นหากใช้หน้าจอในที่แสงน้อย หรือมีท่านั่งที่ไม่เหมาะสมขณะใช้งาน     อาการของ Computer Vision Syndrome ทำความรู้จักและสังเกตอาการต่างๆ ของ Computer Vision Syndrome พร้อมอาการที่พบบ่อย ดังนี้ ตาแห้งและแสบเคือง ปวดบริเวณกระบอกตา ตาล้าหรือรู้สึกเหนื่อยล้าสายตา ตอบสนองต่อแสงจ้าได้น้อยลง โฟกัสภาพช้าหรือยากขึ้น ตาพร่ามัว ปวดต้นคอ ปวดไหล่ ปวดหลัง หรือปวดศีรษะ     สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค CVS หลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้สายตากับหน้าจอในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้เกิดอาการ Computer Vision Syndrome เช่น การกะพริบตาลดลงขณะจดจ่อกับการอ่านหนังสือหรือจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ ส่งผลให้ตาแห้งง่ายขึ้น แสงสว่างภายในห้องไม่เหมาะสม ทำให้สายตาเกิดความล้า แสงสะท้อนจากหน้าจอคอมพิวเตอร์รบกวนการมองเห็น ตัวอักษรบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่คมชัดเท่าตัวพิมพ์บนกระดาษ หรือสัญญาณภาพบนจอมีความไม่นิ่ง ทำให้ต้องเพ่งสายตามากขึ้น ระยะห่างระหว่างดวงตากับหน้าจอที่ไม่เหมาะสม ระดับสายตาในการมองหน้าจอที่ไม่ถูกต้อง ท่าทางการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้กล้ามเนื้อและสายตาเกิดความล้า กลุ่มคนที่เสี่ยงเป็น Computer Vision Syndrome พนักงานที่ทำงานในออฟฟิศทั่วไป นักเขียนหรือผู้สร้างสรรค์งานเขียน นักออกแบบกราฟิกและงานสร้างสรรค์ด้านภาพ นักเรียนหรือนักศึกษาที่เรียนหรือใช้เวลาจ้องหน้าจอนาน ผู้ที่ใช้เวลานานในการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่อง     แนวทางการป้องกัน Computer Vision Syndrome วิธีจัดการหรือป้องกันปัญหาสายตาที่เกิดจากการใช้หน้าจอดิจิทัลมีหลากหลาย แต่โดยทั่วไปสามารถบรรเทาได้ด้วยการดูแลสายตาอย่างสม่ำเสมอและปรับเปลี่ยนวิธีการมองหน้าจอ ได้แก่ เติมความชุ่มชื้นให้กับดวงตา แพทย์อาจแนะนำให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดตาที่หาซื้อได้ตามร้านยา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา และแนะนำให้คุณพยายามกะพริบตาบ่อยขึ้น เพราะเวลาจ้องหน้าจอ เรามักเผลอกะพริบตาน้อยลง การกะพริบตาบ่อยๆ จะช่วยให้มีน้ำตาธรรมชาติ และบรรเทาอาการตาแห้งได้ดีขึ้น นอกจากนี้แพทย์อาจสั่งยาหยอดตาหรือวิธีรักษาอื่นๆ ที่เหมาะสมกับอาการด้วย   ใส่แว่นตาเมื่อใช้หน้าจอ แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ทั่วไปอาจไม่เพียงพอสำหรับการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ควรตรวจสายตาปีละครั้ง และปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อพิจารณาใช้เลนส์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการมองหน้าจอ ซึ่งอาจมีการปรับกำลังเลนส์ สี หรือเคลือบพิเศษ เช่น สารเคลือบตัดแสงสีฟ้า เพื่อเพิ่มความสบายและประสิทธิภาพในการมองเห็น   ฝึกสายตา ฝึกให้ดวงตาและสมองทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น การออกกำลังกายตาเหล่านี้ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวของตา การโฟกัส และการประสานงานของดวงตา รวมถึงเสริมสร้างการเชื่อมโยงระหว่างตาและสมอง การรักษาอาจประกอบด้วยการฝึกในคลินิกควบคู่กับการฝึกที่บ้าน   ปรับท่านั่งให้เหมาะสมเมื่อใช้คอมพิวเตอร์ ปัจจัยสำคัญในการบรรเทาโรค Computer Vision Syndrome (CVS) เกี่ยวข้องกับท่านั่งและการจัดวางอุปกรณ์รอบตัวขณะใช้คอมพิวเตอร์ ได้แก่ การตั้งแสงให้พอดี ไม่สว่างหรือมืดเกินไป ใช้เก้าอี้ที่รองรับหลังได้ดี วางเอกสารไว้ใกล้มือเพื่อลดการเคลื่อนไหวคอ ปรับหน้าจอให้อยู่ในระดับสายตา และพักสายตาทุก 20 นาที โดยมองไปไกลประมาณ 6 เมตร เป็นเวลา 20 วินาที   ปรับความสว่างและความคมชัดของหน้าจอ ความสว่างของหน้าจอควรใกล้เคียงกับความสว่างในห้อง คุณอาจต้องปรับความสว่างหน้าจอตามช่วงเวลาของวัน ส่วนความคมชัดประมาณ 60-70% จะทำให้สายตาสบายขึ้น   ควบคุมแสงสะท้อนและแสงสีฟ้า ลดอาการตาไม่สบายจากแสงสีฟ้าและแสงสะท้อนได้ด้วยการใส่แว่นที่มีเลนส์เคลือบพิเศษ ใช้ฟิลเตอร์กันแสง ปรับจอให้เหมาะสม พร้อมใช้ผ้าม่านบังแสง และเช็ดทำความสะอาดหน้าจอให้สะอาดชัดเจน     จัดพื้นที่ทำงานให้เหมาะสม ตั้งโต๊ะทำงานสูงประมาณ 66 ซม. และวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ห่างจากตาประมาณ 40-75 ซม. (หรือระยะที่แขนเอื้อมถึงพอดี) โดยให้ส่วนบนของหน้าจออยู่ต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อย และเอียงหน้าจอประมาณ 10-20 องศา นอกจากนี้ ควรใช้เก้าอี้ที่รองรับหลังได้ดี และใช้ที่วางเอกสารแบบปรับได้ โดยวางเอกสารให้ห่างจากตาเท่ากับระยะห่างหน้าจอและใกล้หน้าจอที่สุด เพื่อลดการปรับโฟกัสสายตาบ่อยๆ พักสายตาเป็นประจำ เพื่อคลายความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อตา ควรปฏิบัติตาม “กฎ 20-20-20” คือ ทุก 20 นาที ให้พักสายตา 20 วินาที โดยมองไปที่วัตถุที่อยู่ไกลประมาณ 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) นอกจากนี้เมื่อใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ควรลุกจากโต๊ะและสลับไปทำกิจกรรมอื่นที่ไม่ต้องเพ่งสายตาใกล้ เช่น เดินเล่น ยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ หรือพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อให้ดวงตาได้พักและผ่อนคลายอย่างแท้จริง   สรุป Computer Vision Syndrome (CVS) คืออาการล้าสายตาและปัญหาสายตาที่เกิดจากการใช้หน้าจอดิจิทัลเป็นเวลานาน เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือแท็บเล็ต อาการที่พบได้บ่อยคือ ตาแห้ง ปวดตา มองไม่ชัด และปวดหัว การป้องกันและบรรเทาอาการนี้ทำได้โดยการปรับแสงหน้าจอให้เหมาะสม ปรับท่านั่งและระยะห่างจากหน้าจอ รวมถึงพักสายตาเป็นระยะ หากคุณมีอาการหรือกังวลเกี่ยวกับสายตา สามารถเข้ารับบริการตรวจตาและคำปรึกษาที่ โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ (Bangkok Eye Hospital) ซึ่งมีแพทย์ผู้ชำนาญและเทคโนโลยีทันสมัยช่วยดูแลสุขภาพดวงตาของคุณอย่างครบวงจร   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Computer Vision Syndrome (FAQ) นี่คือคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Computer Vision Syndrome (CVS) เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน รวมถึงการดูแลสุขภาพสายตาจากการใช้งานหน้าจอดิจิทัลอย่างเหมาะสม   ใช้เวลานานไหมกว่า Computer Vision Syndrome จะหาย ระยะเวลาของอาการ Computer Vision Syndrome ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาที่ใช้หน้าจอ บางคนอาจดีขึ้นทันทีหลังเลิกใช้หน้าจอ ส่วนบางคนอาจมีอาการนานเป็นวันหรือมากกว่า   แว่นตาช่วยรักษาอาการ Computer Vision Syndrome ได้จริงไหม ช่วยได้จริง โดยแว่นตาพิเศษช่วยลดแสงสะท้อนและความล้าของดวงตาจากการใช้คอมพิวเตอร์ได้ แต่ควรใช้ควบคู่กับการพักสายตาและปรับสภาพแสงหน้าจอเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด   Computer Vision Syndrome ทำให้เกิดความเสียหายต่อตาถาวรไหม โดยทั่วไปแล้ว Computer Vision Syndrome (CVS) ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายถาวรต่อดวงตาหรือทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร เพราะอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นมักเป็นอาการชั่วคราวที่เกิดจากความเมื่อยล้า หรือความเครียดของดวงตา และมักจะดีขึ้นเมื่อมีการพักผ่อนสายตา ปรับพฤติกรรมการใช้งาน และดูแลดวงตาอย่างเหมาะสม

ชอบขยี้ตาบ่อย เลือกทำเลสิกแบบไหนดีให้ปลอดภัยและเหมาะกับคุณ?

การขยี้ตาบ่อยหลังทำเลสิกเสี่ยงทำให้ฝากระจกตาเคลื่อนหรือเกิดแผล ทำให้สายตาพร่ามัวหรือเกิดการติดเชื้อได้ เทคนิคเลสิกที่เหมาะกับคนขยี้ตาบ่อย ได้แก่ PRK และ SMILE เพราะไม่สร้างฝากระจกตา จึงลดความเสี่ยงฝากระจกตาเคลื่อน พร้อมทั้งช่วยให้ฟื้นตัวได้ดี หลังทำเลสิก ผู้ที่ชอบขยี้ตาบ่อยควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตา งดแต่งหน้าใกล้ดวงตา หลีกเลี่ยงน้ำเข้าตา และใส่แว่นกันลม กันฝุ่นเพื่อป้องกันการระคายเคือง การขยี้ตาบ่อยเป็นพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังจะทำเลสิกหรือเคยทำเลสิกไปแล้ว เพราะนอกจากจะทำให้ตาระคายเคืองแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ หากต้องการทำเลสิกจริงๆ ควรเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับพฤติกรรมนี้ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อควรระวังและวิธีดูแลดวงตาหลังผ่าตัดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผลลัพธ์ปลอดภัยและยาวนานที่สุด ทำไมการขยี้ตาบ่อยถึงเป็นอันตรายหลังทำเลสิก? การขยี้ตาบ่อยหลังทำเลสิก โดยเฉพาะในช่วงแรกของการพักฟื้น อาจส่งผลเสียร้ายแรงได้ เพราะการทำเลสิกแต่ละประเภทมีวิธีการรักษาและฟื้นฟูที่แตกต่างกัน การขยี้ตาจึงอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการรักษาและผลลัพธ์ที่ได้ ดังนี้ ผลจากการขยี้ตาบ่อยหลังทำเลสิก เลสิกเป็นการผ่าตัดสร้างฝากระจกตา การขยี้ตาบ่อยหรือขยี้ตาแรงอาจทำให้ฝากระจกตาเคลื่อน หลุด หรือพับยับ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินต้องแก้ไขทันที และเสี่ยงต่อสายตาพร่ามัวหรือติดเชื้อได้ ผลจากการขยี้ตาบ่อยหลังทำ PRK (Photorefractive Keratectomy) แม้ไม่สร้างฝากระจกตา แต่หลังทำ PRK/TransPRK ผิวกระจกตาชั้นนอกถูกลอกออก การขยี้ตาอาจทำให้แผลหายช้า เกิดการติดเชื้อ หรือพังผืดที่กระจกตาได้ ภาวะกระจกตาย้วย (Keratoconus) ผู้ที่ชอบขยี้ตาบ่อยเสี่ยงเกิดภาวะกระจกตาย้วย ซึ่งกระจกตาบางและโป่งออก ทำให้ไม่เหมาะกับการทำเลสิกบางประเภท หรือหากทำแล้วอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น เทคนิคเลสิกที่เหมาะสมสำหรับคนขยี้ตาบ่อย   ถ้าคุณมักเผลอขยี้ตาบ่อย การปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อประเมินสภาพตาและเลือกเทคนิคเลสิกที่ไม่สร้างฝากระจกตาหรือมีผลกระทบน้อยต่อโครงสร้างกระจกตาจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า โดยเทคนิคที่เหมาะสม เช่น   PRK (Photorefractive Keratectomy) หรือ TransPRK เทคนิคนี้ใช้เลเซอร์เจียระไนเนื้อกระจกตาโดยตรงที่ผิวชั้นบนสุดโดยไม่สร้างฝากระจกตา ทำให้ปลอดภัยกว่าสำหรับผู้ที่ชอบขยี้ตา เพราะไม่มีความเสี่ยงที่ฝากระจกตาจะเคลื่อนตัว อีกทั้งกระจกตาหลังทำยังมีความแข็งแรงมากกว่าเลสิก อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาพักฟื้นจะนานกว่า ประมาณ 3-5 วันแรกอาจรู้สึกเคืองตาและมองไม่ชัด ผลการมองเห็นจึงคงที่ช้ากว่าเลสิก เทคนิคนี้เหมาะกับผู้ที่ชอบขยี้ตาบ่อย นักกีฬาที่เสี่ยงกระทบกระเทือนดวงตา หรือผู้ที่มีกระจกตาบางไม่เหมาะกับการทำเลสิก และควรให้ความสำคัญกับการดูแลดวงตาหลังผ่าตัดเลสิกอย่างเคร่งครัดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและการฟื้นตัวที่รวดเร็ว   ReLEx SMILE (Small Incision Lenticule Extraction) เทคนิคนี้ใช้เลเซอร์สร้างชิ้นเนื้อกระจกตา (Lenticule) ภายในกระจกตา แล้วนำชิ้นเนื้อนั้นออกผ่านแผลเล็กๆ ขนาด 2-4 มิลลิเมตร โดยไม่ต้องสร้างฝากระจกตาที่เปิดออก ทำให้แผลมีขนาดเล็กและฟื้นตัวเร็ว ความเสี่ยงที่ฝากระจกตาจะเคลื่อนตัวจึงน้อยกว่าเลสิกมาก อีกทั้งกระจกตาหลังทำยังคงมีความแข็งแรงดี อย่างไรก็ตาม เทคนิคนี้ไม่สามารถแก้ไขสายตายาวได้ และมีข้อจำกัดในเรื่องค่าสายตาที่สามารถแก้ไขได้ เหมาะกับผู้ที่มีสายตาสั้นหรือเอียงไม่เกินเกณฑ์ รวมถึงผู้ที่ชอบขยี้ตาและต้องการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกรณีที่เผลอขยี้ตาหลังทำเลสิก เทคนิคนี้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาฝากระจกตาเคลื่อนหรือเสียหายได้ดีกว่า   NanoRelex® NanoReLEx® เป็นเทคนิคที่มีความแม่นยำสูงในการปรับแต่งเนื้อเยื่อภายในชั้น Stroma ของกระจกตา โดยคำนวณชิ้นเนื้อกระจกตาในรูปแบบ 3 มิติ เรียกว่า Lenticule ตามค่าสายตาของแต่ละบุคคล จากนั้นนำ Lenticule ออกผ่านแผลขนาดเล็กเพียง 2–3 มิลลิเมตร จุดเด่นคือใช้พลังงานต่ำในระดับนาโนจูลย์ ทำให้กระทบกระเทือนดวงตาน้อยและฟื้นตัวเร็วขึ้น การผ่าตัดด้วย NanoReLEx® ใช้เวลาสั้น ลดอาการตาแห้งหลังการรักษา แผลขนาดเล็กช่วยให้กระจกตาคงรูปร่างและความแข็งแรงหลังผ่าตัด   SMILE Pro® SMILE Pro® เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์แก้ไขสายตาที่ล้ำสมัยที่สุดในปัจจุบัน มีประสิทธิภาพเหนือกว่า ReLEx SMILE รุ่นเดิมทั้งด้านความรวดเร็ว ความแม่นยำ และความสบายตาขณะทำการรักษา จุดเด่นอยู่ที่การใช้เครื่องเลเซอร์ Carl ZEISS VisuMax 800 รุ่นล่าสุด สามารถยิงเลเซอร์เสร็จสิ้นภายใน 8 วินาทีต่อดวงตา และสามารถปรับแต่งรูปร่างกระจกตาได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ทางสายตาที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีค่าสายตาสั้นหรือเอียงมาก ช่วยลดความกังวลและเพิ่มความสบายให้ผู้เข้ารับการรักษาได้อย่างมาก     หลังทำเลสิกห้ามทำอะไรบ้าง สำหรับคนขยี้ตาบ่อย หากคุณตัดสินใจทำเลสิกและมีพฤติกรรมชอบขยี้ตาบ่อย การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันปัญหาและช่วยให้ดวงตาฟื้นตัวอย่างปลอดภัย   พยายามหยุดขยี้ตา การขยี้ตาหนักๆ อาจทำให้ฝากระจกตาหลุดหรือเสียหาย ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและทำให้ผลลัพธ์เลสิกไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง จึงควรฝึกควบคุมและหลีกเลี่ยงการขยี้ตาทั้งก่อนและหลังผ่าตัด เพื่อช่วยให้แผลหายไว และรักษาคุณภาพการมองเห็นให้นานที่สุด   ใช้ยาหยอดตา หากคุณขยี้ตาบ่อยเพราะรู้สึกคันหรือตาแห้ง การปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาหยอดตาที่เหมาะสมจะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ยาหยอดตาอย่างถูกวิธีจะช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง ลดความอยากขยี้ตา และช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้นมากขึ้น ส่งผลให้การฟื้นตัวหลังทำเลสิกเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยมากขึ้น   สวมแว่นตาป้องกัน หลังทำเลสิก 7 วัน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรก ควรใส่แว่นตากันลม กันฝุ่น และลดแสงจ้า เพื่อปกป้องดวงตาจากสิ่งแวดล้อมที่อาจกระตุ้นให้เกิดการระคายเคือง นอกจากนี้แว่นตายังทำหน้าที่ช่วยให้ระมัดระวังและไม่เผลอขยี้ตา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่อาจส่งผลเสียต่อการฟื้นตัวและความปลอดภัยของกระจกตาหลังผ่าตัด   ระมัดระวังการทำความสะอาดตา ควรทำความสะอาดตาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเบามือที่สุด เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือความเสียหายต่อกระจกตา หลีกเลี่ยงการถูหรือขยี้ตาขณะทำความสะอาด และใช้วิธีที่ถูกต้อง เช่น ใช้น้ำเกลือล้างตาหรือผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆ เช็ดเบาๆ วิธีถนอมสายตาหลังทำเลสิกนี้ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อและส่งเสริมการฟื้นตัวของดวงตาอย่างปลอดภัย   ปรึกษาแพทย์ทันที หากเผลอขยี้ตาแรงๆ หลังทำเลสิก หรือรู้สึกปวดตา ตาแดงมากผิดปกติ เห็นภาพพร่าหรือแสงกระจาย มีน้ำตาไหลมาก หรือตาแห้งผิดปกติ ควรรีบพบจักษุแพทย์ทันที เพราะอาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อน เช่น ฝากระจกตาเคลื่อนหรือติดเชื้อ   การได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยป้องกันความเสียหายรุนแรงและรักษาคุณภาพการมองเห็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังทำเลสิก ไม่ควรเล่นโทรศัพท์บ่อย ควรพักสายตาและหลีกเลี่ยงการเพ่งจอเป็นเวลานาน เพื่อช่วยลดอาการตาแห้งและอาการล้า ช่วยให้ดวงตาฟื้นตัวได้ดีขึ้น   สรุป สำหรับคนที่ขยี้ตาบ่อย การทำเลสิกควรเลือกเทคนิคที่ปลอดภัยและเหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน เช่น ฝากระจกตาเคลื่อนหรือกระจกตาบาง เทคนิคที่ไม่สร้างฝากระจกตาหรือมีแผลเล็ก เช่น PRK หรือ SMILE เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะช่วยให้ฟื้นตัวเร็วและกระจกตาแข็งแรงกว่าเดิม Bangkok Eye Hospital มีทีมจักษุแพทย์ผู้ชำนาญและเทคโนโลยีทันสมัย ที่ช่วยประเมินสภาพดวงตาอย่างละเอียด เพื่อแนะนำวิธีทำเลสิกที่เหมาะสมกับพฤติกรรมของแต่ละคน พร้อมคำแนะนำดูแลดวงตาหลังผ่าตัด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและการฟื้นตัวอย่างปลอดภัยและยั่งยืน   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคนขยี้ตาบ่อยทำเลสิก (FAQ)   รวบรวมคำตอบที่ช่วยไขข้อสงสัยเกี่ยวกับผลกระทบของการขยี้ตาต่อการทำเลสิก วิธีเลือกเทคนิคเลสิกที่เหมาะสมกับพฤติกรรมการขยี้ตา รวมถึงคำแนะนำในการดูแลดวงตาหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและรักษาผลลัพธ์ให้คงทน พร้อมข้อมูลที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจทำเลสิกในกรณีนี้   คนชอบขยี้ตาบ่อยๆ ทำเลสิกได้ไหม? ทำได้ แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และบางเทคนิคอาจเหมาะสมกว่า แพทย์จะประเมินสภาพตาและความรุนแรงของพฤติกรรมการขยี้ตาอย่างละเอียด หากสามารถควบคุมการขยี้ตาหลังผ่าตัดได้ ก็ไม่มีปัญหา แต่หากควบคุมไม่ได้ อาจต้องเลือกเทคนิคที่ปลอดภัยกว่า หรือหาทางแก้ไขพฤติกรรมขยี้ตาก่อน มีวิธีลดพฤติกรรมการขยี้ตาไหม ใช้ยาหยอดตาเพิ่มความชุ่มชื้นเพื่อลดอาการตาแห้งและระคายเคือง หาสาเหตุอาการคัน เช่น ภูมิแพ้ และรับยาหยอดตาแก้แพ้ สวมแว่นตาหรือแว่นกันแดดเพื่อป้องกันฝุ่น ลม และแสงแดด พร้อมฝึกสังเกตตัวเองและหยุดพฤติกรรมขยี้ตาให้ได้   เผลอขยี้ตาหลังทำเลสิกไปแล้ว ต้องทำอย่างไร? หากคุณเผลอขยี้ตาอย่างรุนแรงหลังทำเลสิก (โดยเฉพาะในช่วง 1-3 เดือนแรก) และรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ เช่น ตาพร่ามัว เจ็บตามาก มองเห็นภาพซ้อน หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรอยู่ในตา ควรรีบกลับไปพบจักษุแพทย์ทันที เพื่อตรวจดูว่าฝากระจกตาเคลื่อนหรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน  

ทำเลสิกแล้วสายตากลับมาสั้นอีก สาเหตุ แนวทางแก้ไข และข้อควรรู้

แม้ทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกได้ หากค่าสายตายังไม่คงที่ หรือเกิดภาวะ Regression หลังการรักษา เหตุผลหรือปัจจัยที่ทำให้สายตากลับมาสั้นอีกหลังทำเลสิก ได้แก่ สายตาเปลี่ยนไปจากปกติ การตอบสนองของร่างกาย สายตาที่ยังไม่คงที่ก่อนผ่าตัด สายตาสั้นรุนแรง และโรคประจำตัว เป็นต้น วิธีแก้ไขเมื่อทำเลสิกแล้วสายตากลับมาสั้นอีก ได้แก่ การทำเลสิกซ้ำ (หากกระจกตายังหนาพอ) ใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ และในบางกรณีอาจพิจารณาการใส่เลนส์เสริม ICL แทน หลายคนที่เคยทำเลสิกอาจรู้สึกผิดหวังเมื่อพบว่าทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกครั้ง ทั้งที่เคยมองเห็นชัดเจนในช่วงแรกหลังผ่าตัด ปัญหานี้อาจสร้างความกังวลใจและตั้งคำถามว่าเกิดจากอะไร? จำเป็นต้องทำเลสิกซ้ำหรือไม่? หรือมีวิธีอื่นในการแก้ไข? บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงสาเหตุของสายตาสั้นซ้ำหลังเลสิก พร้อมแนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม และข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างปลอดภัย   ทำเลสิกมีโอกาสสายตาสั้นอีกได้ไหม? ค่าสายตาที่กลับมาอีกหลังหรือทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้น้อย และไม่ได้อันตรายอย่างที่หลายคนกังวล การเปรียบเทียบง่ายๆ คือเหมือนเวลาถูกมีดบาด แผลของแต่ละคนจะหายเร็วหรือช้าต่างกัน แม้จะโดนในจุดเดียวกัน ลึกเท่ากัน เพราะร่างกายแต่ละคนมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับกระบวนการหายของกระจกตาหลังเลเซอร์ ในทางเลสิกคนส่วนใหญ่มักจะไม่มีการกลับมาของค่าสายตา แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะผู้ที่มีค่าสายตาสั้นมาก (เกิน 800) หรือสายตาเอียงมาก (เกิน 200) อาจมีโอกาสที่ค่าสายตาจะกลับมาเล็กน้อยได้ในระยะยาว เช่น ประมาณ 100 ภายใน 10 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ไม่กระทบต่อการใช้ชีวิต เพราะยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน และหลายครั้งยังชัดกว่าตอนที่ใช้แว่นเดิมด้วยซ้ำ ที่น่าสนใจคือการมีค่าสายตากลับมาบ้างเล็กน้อยในช่วงหลังวัย 40 อาจกลายเป็นข้อดี เพราะช่วยให้มองใกล้ได้ง่ายขึ้น เช่น การอ่านหนังสือหรือดูมือถือ โดยไม่ต้องพึ่งแว่นสายตายาวมากนัก สำหรับคำถามที่ว่า ทำเลสิกอยู่ได้นานกี่ปี ส่วนใหญ่ผลลัพธ์จะคงทนหลายปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและการเปลี่ยนแปลงของสายตาตามวัย     ทำไมสายตาถึงกลับมาสั้นอีกหลังทำเลสิก? ภาวะสายตากลับมาสั้นอีกหลังทำเลสิกไม่ได้หมายความว่าการผ่าตัดล้มเหลวเสมอไป แต่เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อสายตาหลังการรักษา ดังนี้   ภาวะที่สายตาเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ ในผู้ที่ทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีก ขณะที่สายตายังสั้นขึ้นเรื่อยๆ หรือยังไม่คงที่ สายตาอาจกลับมาสั้นอีกตามธรรมชาติเมื่อเวลาผ่านไป แม้จะได้รับการแก้ไขด้วยเลสิกแล้วก็ตาม โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุน้อยหรือผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงของสายตาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุผลที่แพทย์ส่วนใหญ่จะแนะนำให้รอจนกว่าสายตาจะคงที่อย่างน้อย 1-2 ปีก่อนที่จะทำเลสิก เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดโอกาสการกลับมาของสายตาสั้น   การตอบสนองของร่างกาย กระจกตาของแต่ละคนมีการตอบสนองต่อการผ่าตัดไม่เหมือนกัน บางรายอาจสร้างเนื้อเยื่อใหม่บริเวณที่เจียระไนออกไปมากเกินไป (Epithelial Hyperplasia) หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ ทำให้ความโค้งของกระจกตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ส่งผลให้ทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกได้ โดยการฟื้นตัวและปฏิกิริยาของเนื้อเยื่อจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล   ประเมินค่าสายตาผิดพลาด หากวัดค่าสายตาเริ่มต้นก่อนการผ่าตัดคลาดเคลื่อนเล็กน้อย หรือการคำนวณกำลังเลเซอร์ไม่แม่นยำ อาจทำให้การแก้ไขสายตาไม่สมบูรณ์ตั้งแต่แรก ส่งผลให้เกิดปัญหาทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกได้ในภายหลัง ซึ่งความแม่นยำในการตรวจประเมินก่อนผ่าตัดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์ที่ดีและยั่งยืน   สายตาสั้นรุนแรงตั้งแต่แรก ผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้นในระดับรุนแรงมาก การทำเลสิกอาจต้องเจียระไนเนื้อกระจกตาออกในปริมาณมาก ซึ่งเพิ่มโอกาสให้เกิดปัญหาทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีก มากกว่าผู้ที่มีสายตาสั้นน้อย ดังนั้นการใช้เทคนิคผ่าตัดที่เหมาะสม หรือพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น PRK หรือ ICL อาจจำเป็นในบางกรณีเพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและยั่งยืน   ปัจจัยอื่นๆ นอกจากสาเหตุหลักๆ แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่อาจส่งผลให้เกิดปัญหาเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกได้ ซึ่งการทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ที่สนใจทำเลสิกเตรียมตัวและเลือกแนวทางรักษาได้เหมาะสมมากขึ้น เช่น การตั้งครรภ์หรือการให้นมบุตร ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้ค่าสายตาเปลี่ยนได้ โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวาน ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี อาจส่งผลต่อการมองเห็น การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ หรือยาต้านซึมเศร้า อาจมีผลข้างเคียงต่อสายตา   แนวทางและวิธีถนอมสายตาหลังทำเลสิก หลังทำเลสิก การดูแลและถนอมสายตาอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน และช่วยป้องกันไม่ให้สายตากลับมาสั้นอีก ส่วนนี้จะแนะนำแนวทางและวิธีถนอมสายตาหลังทำเลสิก เพื่อช่วยรักษาผลลัพธ์และดูแลดวงตาให้แข็งแรงในระยะยาว   วิธีถนอมสายตาหลังทำเลสิกคืนแรก ในคืนแรกหลังการผ่าตัดเลสิก ผู้ป่วยมักจะรู้สึกเคืองตา อาการน้ำตาไหลอาจมีมากหรือน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละคน ทั้งนี้เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีก ควรปฏิบัติตามคำแนะนำสำหรับการดูแลตัวเองในคืนแรก ดังนี้ คนไข้ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ แต่สามารถลืมตาทำกิจวัตรที่จำเป็นได้ โดยมองผ่านรูเล็กๆ ของฝาครอบตา หากผ่าตัดตอนกลางวัน ควรนอนหลับสั้นๆ อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงหลังผ่าตัด หากผ่าตัดตอนเย็น ควรเข้านอนแต่หัวค่ำ และรับประทานยานอนหลับอ่อนๆ ที่แพทย์ให้หลังอาหารเย็น หลังผ่าตัดจะได้รับการปิดฝาครอบตาข้างที่ผ่าตัด ซึ่งเป็นฝาครอบใสมีรูเล็กๆ ให้มองลอดได้ ห้ามแกะฝาครอบตาเด็ดขาด ยกเว้นแพทย์สั่งให้เปิดหยอดยาเอง เพื่อป้องกันการขยี้ตา หากน้ำตาไหลมาก ควรซับน้ำตานอกฝาครอบตาเท่านั้น หากฝาครอบตาไม่แน่น ควรติดพลาสเตอร์เพิ่มเพื่อความปลอดภัย สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่ต้องระวัง ห้ามให้น้ำเข้าตาเด็ดขาด ไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำ สามารถใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนได้ แต่สามารถอาบน้ำและแปรงฟันได้ตามปกติ   วิธีถนอมสายตาหลังทำเลสิกสัปดาห์แรก ในช่วงสัปดาห์แรกหลังทำเลสิก การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ โดยมีข้อควรปฏิบัติที่ควรรู้ ดังนี้ หยอดยาป้องกันการติดเชื้อและน้ำตาเทียม โดยสามารถหยอดน้ำตาเทียมได้บ่อยตามต้องการ ปิดฝาครอบตาก่อนนอน เพื่อป้องกันไม่ให้เผลอขยี้ตา ระมัดระวังไม่ให้น้ำหรือฝุ่นละอองเข้าตา ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด งดแต่งหน้า โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ควรใส่แว่นกันแดดเมื่อต้องอยู่ในที่ที่มีแสงจ้า เพื่อลดอาการเคืองและแสบตา เพราะการมองเห็นอาจยังไม่คงที่ เนื่องจากอาจมีอาการตาแห้ง หลังตรวจตาเมื่อครบ 1 สัปดาห์ จะอนุญาตให้ล้างหน้าและสระผมโดยไม่ต้องใส่ฝาครอบตาก่อนนอน สามารถว่ายน้ำได้หลังทำเลสิกประมาณ 2 สัปดาห์     วิธีแก้ไขเมื่อทำเลสิกแล้วสายตากลับมาสั้นอีก? เมื่อพบว่าสายตากลับมาสั้นอีกหลังทำเลสิก แพทย์จะทำการตรวจประเมินอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุและพิจารณาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม เช่น   การใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ การใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์เป็นทางเลือกที่ง่ายและปลอดภัยที่สุด สำหรับผู้ที่ทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีก เล็กน้อย และไม่ต้องการผ่าตัดซ้ำ เพราะวิธีนี้ไม่เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน และยังช่วยให้การมองเห็นชัดเจนขึ้นโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการผ่าตัดเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามค่าสายตาที่เปลี่ยนไปตามเวลา ทำให้เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวกและปลอดภัยในระยะยาว   การทำเลสิกซ้ำ (Re-LASIK หรือ Enhancement) วิธีนี้นิยมใช้เมื่อกระจกตายังมีความหนาเพียงพอและไม่พบความผิดปกติอื่นๆ แพทย์จะทำการยกเปิดฝากระจกตาเดิม หากยังสามารถทำได้หรือสร้างฝากระจกตาใหม่ จากนั้นใช้เลเซอร์เจียระไนเนื้อกระจกตาเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขค่าสายตาที่ยังเหลืออยู่ สำหรับคำถามที่ว่า ทำเลสิกแล้วสามารถทำซ้ำได้ไหม คำตอบคือ สามารถทำได้ในบางกรณี แต่ต้องพิจารณาความเสี่ยง เช่น โอกาสเกิดอาการตาแห้งมากขึ้น หรือภาวะกระจกตาบางเกินไปในระยะยาว จึงควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ   การทำ PRK (Photorefractive Keratectomy) อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่มีความหนากระจกตาบางเกินไปจนไม่เหมาะกับการทำเลสิกซ้ำ หรือในกรณีที่ไม่สามารถยกเปิดฝากระจกตาเดิมได้ คือการทำ PRK ซึ่งจะไม่สร้างฝากระจกตา แต่จะเจียระไนเนื้อกระจกตาโดยตรงบนผิวหน้าของกระจกตา อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวหลังทำ PRK อาจใช้เวลานานกว่าเลสิก และอาจมีอาการเจ็บปวดในช่วงแรก จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเลือกวิธีนี้   การใส่เลนส์เสริม (ICL - Implantable Collamer Lens) การใส่เลนส์เทียมในลูกตาเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นรุนแรงมาก หรือมีข้อจำกัดในการทำเลสิกหรือ PRK ซ้ำ เช่น กรณีกระจกตาบางเกินไป วิธีนี้คือการผ่าตัดนำเลนส์เทียมใส่เข้าไปในดวงตาเพื่อช่วยแก้ไขค่าสายตา โดยเป็นการผ่าตัดที่ซับซ้อนกว่าเลสิกและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ   สรุป แม้การทำเลสิกจะช่วยแก้ไขสายตาสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในบางกรณีสายตาอาจกลับมาสั้นอีกได้จากหลายปัจจัย เช่น การเปลี่ยนแปลงของสายตาตามวัย หรือความแตกต่างในการฟื้นตัวของกระจกตา ดังนั้นความแม่นยำในการตรวจวัดและการผ่าตัดจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำและปลอดภัย ช่วยลดโอกาสที่สายตาจะกลับมาสั้นอีก และมอบประสบการณ์การรักษาที่ไว้วางใจได้แก่ผู้ป่วยทุกคน   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีก (FAQ) สำหรับผู้ที่กำลังสงสัยเกี่ยวกับปัญหาทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีก เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยและคำตอบที่ช่วยให้คุณเข้าใจปัญหา สาเหตุ และแนวทางแก้ไข เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น   การทำเลสิกซ้ำอันตรายไหม? การทำเลสิกซ้ำโดยรวมถือว่าปลอดภัย หากแพทย์ประเมินแล้วว่าเหมาะสม และกระจกตามีความหนาเพียงพอ   ควรปรึกษาแพทย์เมื่อใดหากสงสัยว่าสายตากลับมาสั้นอีก หากคุณรู้สึกว่าการมองเห็นเริ่มพร่ามัวลง หรือค่าสายตาสั้นกลับมาใกล้เคียงกับก่อนทำเลสิก ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการแก้ไขสายตาโดยเร็วที่สุด   มีวิธีป้องกันไม่ให้สายตากลับมาสั้นอีกหลังทำเลสิกไหม? แม้ไม่สามารถป้องกันภาวะได้ทั้งหมด แต่สามารถลดความเสี่ยงของการทำเลสิกแล้วสายตาสั้นอีกได้ ด้วยการรอให้ค่าสายตาคงที่อย่างน้อย 1-2 ปีก่อนรักษา เลือกแพทย์และสถานพยาบาลที่มีมาตรฐาน พร้อมเครื่องมือแม่นยำ และดูแลสุขภาพตาหลังการผ่าตัดอย่างเคร่งครัด เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงการใช้สายตาหนักเกินไป  

คอนเเทคเลนส์คืออะไร? วิธีดูแลทำความสะอาด พร้อมข้อควรรู้เบื้องต้น

คอนเเทคเลนส์คือเลนส์ใสที่สวมบนดวงตาเพื่อแก้ไขปัญหาสายตาหรือเปลี่ยนลุคให้ดูดีขึ้น คอนเเทคเลนส์มีหลายประเภท เช่น เลนส์นิ่ม เลนส์แข็ง (RGP) เลนส์รายวัน เลนส์รายเดือน เลนส์แก้สายตาเอียง และเลนส์แฟชันสีต่างๆ วิธีดูแลคอนเเทคเลนส์ที่ถูกต้อง คือล้างมือให้สะอาดก่อนจับ ใช้น้ำยาล้างถูเลนส์ทุกครั้งหลังถอด หลีกเลี่ยงน้ำเปล่าหรือน้ำลาย เก็บเลนส์ในกล่องพร้อมน้ำยาใหม่ทุกวัน และทำความสะอาดกล่องพร้อมเปลี่ยนทุก 3 เดือน เพื่อป้องกันเชื้อโรคและติดเชื้อที่ตา ข้อควรรู้ในการใช้คอนเเทคเลนส์ คือใส่ตามคำแนะนำแพทย์ ไม่ใช้เลนส์ร่วมกับผู้อื่น ล้างมือก่อนจับเลนส์ หลีกเลี่ยงใส่นานเกินไปและไม่ควรนอนหลับขณะใส่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและระคายเคืองตา คอนเเทคเลนส์ (Contact Lens) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการแก้ปัญหาสายตาหรือเปลี่ยนลุคให้ดวงตาดูโดดเด่นมากขึ้น ไม่ว่าจะใส่แทนแว่นสายตาหรือเพื่อความสวยงาม แต่การใช้คอนเเทคเลนส์อย่างไม่ระวัง อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพตาได้ ดังนั้นจึงควรรู้วิธีการใช้งาน การดูแลรักษา และข้อควรระวังเบื้องต้น เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพตาที่ดีในระยะยาว   คอนเเทคเลนส์คืออะไร? คอนเเทคเลนส์เป็นแผ่นพลาสติกบางใสรูปวงกลม ที่สวมใส่บนกระจกตาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาภาวะสายตาผิดปกติ ซึ่งเกิดจากการที่ดวงตาไม่สามารถรวมแสงให้ตกบนจอรับภาพได้อย่างพอดี ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน โดยคอนเเทคเลนส์สามารถช่วยปรับการมองเห็นให้ดีขึ้นในผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด สายตาเอียง และสายตายาวตามอายุ     ประเภทของคอนเเทคเลนส์ คอนเเทคเลนส์มีให้เลือกหลายประเภท ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ลักษณะสายตา และความสะดวกสบายของผู้ใช้ โดยสามารถแบ่งออกได้ตามวัสดุและระยะเวลาการใช้งานดังนี้   คอนเเทคเลนส์แบบแข็ง คอนเเทคเลนส์ชนิดแข็งที่พบได้บ่อยคือแบบกึ่งแข็ง (Rigid Gas-Permeable: RGP) ซึ่งสามารถให้ออกซิเจนซึมผ่านเข้าสู่กระจกตาได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าสายตาเอียงมาก หรือผู้ป่วยโรคกระจกตาโป่ง (Keratoconus) โดยเลนส์ชนิดนี้จะช่วยปรับรูปร่างความโค้งของกระจกตาให้ใกล้เคียงปกติมากขึ้น ส่งผลให้การมองเห็นชัดเจนขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ   คอนเเทคเลนส์แบบนิ่ม คอนเเทคเลนส์ชนิดนิ่มเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากสวมใส่สบายและหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด แบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้ คอนเเทคเลนส์รายวัน คือเลนส์ที่ใส่เฉพาะระหว่างวันแล้วถอดทิ้ง ไม่ต้องทำความสะอาด ลดความเสี่ยงติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้งาน และเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและสะดวกที่สุด คอนเเทคเลนส์รายสัปดาห์ คือเลนส์ที่ใส่และถอดออกทุกวัน และเปลี่ยนใหม่ทุก 1-2 สัปดาห์ คอนเเทคเลนส์รายเดือน คือเลนส์ที่ใส่และถอดออกทุกวัน และเปลี่ยนเป็นชิ้นใหม่ทุก 1 เดือน คอนเเทคเลนส์แบบใส่ระยะยาว สามารถใส่นอนได้ต่อเนื่องหลายวัน แต่เสี่ยงติดเชื้อสูง แพทย์จึงไม่แนะนำให้ใช้งานเป็นประจำ คอนเเทคเลนส์แก้สายตาเอียง เป็นเลนส์ชนิดนิ่ม ราคาสูง แก้ปัญหาสายตาเอียงได้แต่ประสิทธิภาพอาจสู้เลนส์แข็งไม่ได้ มีทั้งแบบรายวันและใส่ระยะยาว คอนเเทคเลนส์สี ใช้ได้ทั้งแก้ไขสายตาผิดปกติและเสริมความสวยงาม แบ่งตามการใช้งาน เช่น เลนส์แฟชั่น บิ๊กอาย เลนส์กรองแสงยูวี และเลนส์แก้ตาบอดสี ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนใช้งานเพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คอสเมติกคอนเเทคเลนส์ (Cosmetic Contact Lenses) เป็นเลนส์ที่ใส่เพื่อเปลี่ยนสีหรือลักษณะดวงตา เช่น ตาแมวหรือแวมไพร์ แม้ไม่ใช้เพื่อแก้สายตา แต่ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนใช้เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ   คอนเเทคเลนส์แบบอื่นๆ นอกจากคอนเเทคเลนส์ที่ใช้เพื่อแก้ไขค่าสายตาทั่วไปแล้ว ยังมีคอนเเทคเลนส์ประเภทอื่นๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น คอนเเทคเลนส์ไฮบริด เป็นเลนส์ผสมระหว่างนิ่มและแข็ง ช่วยแก้ไขสายตาสั้น ยาว เอียง และปัญหากระจกตาได้ดี เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่มีกระจกตาผิดปกติ คอนเเทคเลนส์ชนิดแก้สายตายาวตามอายุ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ใช้ช่วยให้มองเห็นทั้งใกล้และไกลได้ชัด เช่น แบบ Bifocal, Multifocal หรือแบบ Monovision ที่ใส่คนละค่าสายตาในแต่ละข้าง คอนเเทคเลนส์หลายระดับ (Multifocal Contact Lenses) คือเลนส์ที่มีทั้งแบบแข็งและนิ่ม ภายในเลนส์มีค่าสายตาหลายระดับช่วยให้ใช้งานได้สะดวก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตายาวตามวัย (Presbyopia) คอนเเทคเลนส์ครอบแผลชนิดพิเศษ ใช้หลังการผ่าตัดดวงตา เพื่อช่วยปกป้องและส่งเสริมการสมานตัวของผิวกระจกตาให้เร็วขึ้น     ประโยชน์ของคอนเเทคเลนส์ คอนเเทคเลนส์มีประโยชน์หลากหลายด้าน เช่น ช่วยแก้ไขปัญหาสายตา ด้วยการใส่คอนเเทคเลนส์สายตาสั้นและสายตายาว ทำให้ผู้ใส่มองเห็นชัดทั้งระยะใกล้และไกล รวมถึงมีทัศนวิสัยที่ดีกว่าแว่นตา นอกจากนี้ผู้ใส่แว่นมักมีมุมมองด้านข้าง (Peripheral Vision) ที่จำกัด คอนเเทคเลนส์สายตาจึงช่วยเพิ่มการมองเห็นด้านข้างให้ชัดเจนขึ้น คอนเเทคเลนส์ยังเหมาะสำหรับคนที่ไม่สะดวกใส่แว่น และช่วยปรับลุคให้ดูดี มีความมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะคอนเเทคเลนส์แฟชัน เช่น เลนส์สี หรือเลนส์บิ๊กอาย     วิธีใส่คอนเเทคเลนส์อย่างถูกวิธี การใส่คอนเเทคเลนส์อย่างถูกวิธีช่วยเพิ่มความสบายตาและลดความเสี่ยงในการระคายเคืองหรือการติดเชื้อ โดยมีขั้นตอนดังนี้ ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ หลีกเลี่ยงสบู่ที่มีกลิ่นหรือน้ำมันมาก เพราะอาจทำให้ตาระคายเคือง เช็ดมือให้แห้งด้วยผ้าสะอาดที่ไม่เป็นขุยหรือผ้าเช็ดมือ ยืนบนพื้นเรียบและสะอาด เช่น ใกล้อ่างล้างหน้า ปิดฝาท่อระบายน้ำถ้าอยู่เหนืออ่าง เริ่มใส่เลนส์ข้างขวาก่อน (ถ้าถนัดซ้าย ให้เริ่มข้างซ้าย) เพื่อไม่ให้ใส่สลับข้าง หยิบเลนส์จากกล่องเก็บโดยใช้ปลายนิ้ว (หลีกเลี่ยงเล็บ) ล้างเลนส์ด้วยน้ำยาล้างคอนเเทคเลนส์ทุกครั้ง หากเลนส์ตกพื้น ให้ล้างน้ำยาใหม่ก่อนใส่ วางเลนส์ไว้ที่ปลายนิ้วชี้หรือนิ้วกลาง ตรวจสอบว่าเลนส์ไม่ฉีกขาด ตรวจดูว่าเลนส์ไม่กลับด้าน โดยดูขอบเลนส์ ถ้าขอบเลนส์เป็นรูปถ้วยและตั้งตรงคือถูกต้อง ใช้มือที่ไม่ถนัดดึงเปลือกตาบนขึ้น และใช้นิ้วกลางหรืออื่นๆ ดึงเปลือกตาล่างลง มองตรงไปข้างหน้าแล้วค่อยๆ วางเลนส์ลงบนตา ปิดตาเบาๆ แล้วลืมตา กะพริบตาช้าๆ เพื่อให้เลนส์อยู่กลางตา เช็กในกระจกว่าเลนส์อยู่ตรงกลางและรู้สึกสบาย หากไม่สบายหรือตาไม่ชัด ให้ขยับเลนส์หรือนำเลนส์ออกแล้วใส่ใหม่ ทำซ้ำขั้นตอนเดียวกันกับเลนส์อีกข้าง   วิธีถอดคอนเเทคเลนส์อย่างถูกต้อง การถอดคอนเเทคเลนส์อย่างถูกต้องสำคัญต่อสุขภาพดวงตาและช่วยป้องกันการระคายเคืองหรือการติดเชื้อ มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนจับคอนเเทคเลนส์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ตา รินสารละลายที่ใช้แช่คอนเเทคเลนส์ทิ้งให้หมด จากนั้นผึ่งลมหรือเช็ดกล่องเก็บเลนส์ให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ยืนหน้ากระจก ดึงเปลือกตาล่างลงด้วยนิ้วกลางของมือที่ถนัด ถอดเลนส์ออกจากตาข้างที่ต้องการก่อน เพื่อป้องกันความสับสน ใช้นิ้วชี้เลื่อนเลนส์ลงไปที่ขอบตาสีขาวอย่างช้าๆ บีบเลนส์ด้วยนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือเบาๆ เพื่อดึงเลนส์ออกจากตา ทำซ้ำขั้นตอนกับตาอีกข้าง ใช้น้ำยาล้างคอนเเทคเลนส์ที่แนะนำทำความสะอาดเลนส์อย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงน้ำยาที่ทำเองหรือไม่ผ่านการรับรอง ใส่คอนเเทคเลนส์ลงในกล่องเก็บเลนส์ที่แช่ในสารละลาย หรือทิ้งเลนส์หากเป็นแบบใช้ครั้งเดียว     การเก็บรักษาคอนเเทคเลนส์หลังใช้งาน การเก็บรักษาคอนเเทคเลนส์หลังใช้งานอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและยืดอายุการใช้งานของเลนส์ รวมถึงช่วยรักษาความสะอาดและความปลอดภัยให้กับดวงตาของคุณก่อนใช้ในครั้งต่อไป ทำความสะอาดคอนเเทคเลนส์ทุกวันด้วยน้ำยาล้างเลนส์ โดยถูเลนส์เบาๆ ด้วยปลายนิ้วเพื่อขจัดเชื้อและสิ่งสกปรกอย่างทั่วถึง ก่อนเก็บแช่ค้างคืนในตลับ เปลี่ยนน้ำยาแช่เลนส์ใหม่ทุกครั้งหลังใช้ หลีกเลี่ยงการแช่เลนส์ทันทีหลังถอดโดยไม่ทำความสะอาดก่อน ล้างทำความสะอาดตลับใส่เลนส์ทุกสัปดาห์ด้วยน้ำสะอาดและสบู่ แล้วปล่อยให้แห้งก่อนใช้งานครั้งต่อไป ห้ามล้างคอนเเทคเลนส์ด้วยน้ำเปล่า น้ำเกลือ หรือน้ำลายเด็ดขาด เพราะเสี่ยงติดเชื้อและทำให้เลนส์ปนเปื้อนได้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมาตรฐาน เพื่อยืดอายุเลนส์และป้องกันติดเชื้อดวงตา ควรเปลี่ยนตลับคอนเเทคเลนส์ทุก 3 เดือน และล้างตลับก่อนใช้แล้วตากให้แห้งเพื่อฆ่าเชื้อ หลีกเลี่ยงการแบ่งน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ใส่ขวดอื่น เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ห้ามใช้น้ำยาล้างคอนเเทคเลนส์ที่หมดอายุ เก่าเก็บ หรือเปิดทิ้งไว้นานแล้ว   ผู้ที่ไม่ควรใส่คอนเเทคเลนส์ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพดวงตาหรือภาวะบางอย่างควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนเเทคเลนส์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรุนแรง ผู้ที่มีอาการตาแห้งหรือกระจกตาผิดปกติ ผู้ป่วยโรคผิวหนังที่มีอาการบริเวณหนังตาหรือเปลือกตา ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ที่มีอาการตาโปน ซึ่งอาจทำให้คอนเเทคเลนส์หลุดง่าย ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี อาจส่งผลต่อการสร้างน้ำตา ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่อาจแพ้วัสดุพลาสติกในคอนเเทคเลนส์หรือน้ำยาล้างเลนส์ ผู้ที่มีปัญหาในการหยิบจับคอนเเทคเลนส์ เช่น มือสั่นจากโรคสมอง หรือมีปัญหาผิวหนังบริเวณนิ้วมือและเล็บ   สิ่งควรรู้ เพื่อให้ใส่คอนเเทคเลนส์อย่างปลอดภัย คอนเเทคเลนส์สัมผัสกับดวงตาที่บอบบาง จึงต้องใส่ให้ถูกวิธี เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อและปัญหาร้ายแรง วิธีใช้ที่ปลอดภัยมีดังนี้ เลือกใช้คอนเเทคเลนส์ที่เหมาะสมกับดวงตา โดยปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวัดสายตาและลักษณะลูกตาก่อนใช้ ล้างมือให้สะอาดและเช็ดมือให้แห้งก่อนใส่คอนเเทคเลนส์ทุกครั้ง ใส่เลนส์ด้วยปลายนิ้วชี้ และตรวจสอบเลนส์ว่าด้านถูกต้อง (ขอบเลนส์เป็นรูปตัว U ไม่แหลม) หลีกเลี่ยงการใช้เลนส์ร่วมกับผู้อื่น เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ ห้ามสลับใส่เลนส์ข้างซ้าย-ขวาหรือใส่ขณะว่ายน้ำ ไม่ควรนอนหลับขณะใส่เลนส์ เพราะจะลดการรับออกซิเจนของดวงตา หลีกเลี่ยงให้ปลายขวดน้ำยาล้างเลนส์สัมผัสกับสิ่งอื่น เพื่อป้องกันการปนเปื้อน สวมแว่นกันแดดเมื่อต้องใส่คอนเเทคเลนส์ เพื่อลดอาการแสบตาจากแสง ใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้น ป้องกันอาการตาแห้ง     อันตรายจากการใช้คอนเเทคเลนส์ผิดวิธี คอนเเทคเลนส์เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์และปลอดภัยเมื่อใช้อย่างถูกวิธี แต่หากใช้งานไม่ถูกต้อง ไม่ได้มาตรฐาน หรือขาดความสะอาด อาจทำให้เกิดปัญหารุนแรงต่อสุขภาพดวงตาได้ เช่น   ปัญหาที่มาจากคอนเเทคเลนส์ การเลือกคอนเเทคเลนส์ที่มีขนาดไม่พอดีกับตาดำ อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตาและการมองเห็นได้ โดยเลนส์ที่เล็กเกินไปอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตาและเกิดปัญหากระจกตา ส่วนเลนส์ที่ใหญ่เกินไปอาจเคลื่อนหลุดง่าย ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน นอกจากนี้การดูแลและเก็บรักษาคอนเเทคเลนส์ไม่ถูกต้อง ยังเสี่ยงให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ทำให้เกิดอันตรายต่อกระจกตาและเสียสมรรถภาพการใช้งานได้ด้วยเช่นกัน   ปัญหาต่อเยื่อบุตาและกระจกตา ปัญหาเยื่อบุตาและกระจกตาอาจเกิดจากคอนเเทคเลนส์ไม่สะอาด ใช้ของไม่ได้มาตรฐาน หรือแพ้วัสดุที่ใช้ผลิต โดยอันตรายที่พบได้บ่อยมีดังนี้ ตาแห้ง (Dry eyes) อาจเกิดจากการใส่คอนเเทคเลนส์นาน หรือมีน้ำตาน้อย ทำให้ระคายเคือง แสบตา และไวต่อแสง โรคภูมิแพ้ (Allergies) อาจเกิดจากการแพ้คอนเเทคเลนส์หรือสารที่ใช้ร่วม ทำให้ตาแดง แสบ และคันตา เยื่อบุตาอักเสบจากคอนเเทคเลนส์ (Giant Papillary Conjunctivitis) ใส่คอนเเทคเลนส์แล้วตาแดงมักเกิดจากการแพ้เลนส์หรือสารดูแลเลนส์ นอกจากนี้อาจมีอาการระคายเคือง และตุ่มด้านในเปลือกตา เยื่อบุตาอักเสบจากสารเคมี (Toxic Conjunctivitis) เกิดจากการแพ้สารในผลิตภัณฑ์คอนเเทคเลนส์ ทำให้ตาอักเสบหรือกระจกตาถลอกได้ แผลอักเสบที่กระจกตา (Superficial Punctate Keratitis) อาจเกิดจากตาแห้งขณะใส่คอนเเทคเลนส์ ทำให้เกิดแผลเล็กๆ บริเวณกระจกตา ส่งผลให้รู้สึกเจ็บหรือคอนแท็กต​์เลนส์ฉีกขาดได้ อาการเลนส์คับแน่น (Tight Lenses Syndrome) เกิดจากการใส่คอนเเทคเลนส์นานเกินไป ทำให้เลนส์ติดแน่นกับกระจกตา กระจกตาบวมน้ำ มองเห็นไม่ชัด เปลือกตาอักเสบ หรือมีเส้นเลือดเล็กๆ ขึ้นที่ตา กระจกตาขาดออกซิเจน (Corneal hypoxia) มักเกิดจากการใส่คอนเเทคเลนส์นานเกินไป อาจทำให้กระจกตาเป็นแผล เลือดออก และเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็น กระจกตาอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Microbial Keratitis) มักเกิดในผู้ที่ใส่คอนเเทคเลนส์นิ่มหรือใส่ขณะนอนหลับ ทำให้ตาแดง เจ็บตา แฉะ แพ้แสง และระคายเคืองจากการติดเชื้อในเลนส์   สรุป คอนเเทคเลนส์เป็นตัวช่วยแก้ไขปัญหาสายตาที่สะดวกและได้รับความนิยมสูง เช่น คอนเเทคเลนส์รายวัน รายเดือน และคอนเเทคเลนส์สีเพื่อแฟชัน แต่การใช้งานที่ไม่ถูกวิธีหรือขาดการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาตา เช่น ตาแห้ง ติดเชื้อ หรือเยื่อบุตาอักเสบได้ ควรล้างมือก่อนใส่และถอดเลนส์ทุกครั้ง ทำความสะอาดและเปลี่ยนน้ำยาในกล่องเก็บเลนส์อย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ หากมีอาการผิดปกติหรือปัญหาจากการใส่คอนเเทคเลนส์ สามารถมารักษาและปรึกษาจักษุแพทย์ได้ที่ Bangkok Eye Hospital เพื่อดูแลดวงตาให้ปลอดภัยและสุขภาพดีอย่างยั่งยืน   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคอนเเทคเลนส์ (FAQ) รวมคำตอบสำหรับคำถามทั่วไปเกี่ยวกับการใช้งาน การดูแลรักษา และข้อควรรู้ที่สำคัญ เพื่อช่วยให้คุณใช้คอนเเทคเลนส์อย่างถูกวิธีและปลอดภัย ก่อนตัดสินใจใช้งานจริง   ใส่คอนเเทคเลนส์เกิน 8 ชม. อันตรายไหม ใน 1 วัน ใส่คอนเเทคเลนส์เกิน 8 ชม. ได้ไหม? คอนเเทคเลนส์ใส่ได้กี่ชั่วโมง? คำตอบคือควรใส่ไม่เกิน 8-9 ชั่วโมง เพราะใส่นานเกินไปอาจทำให้ตาแห้ง ระคายเคือง หรืออักเสบ หากจำเป็นต้องใส่นาน ให้ใช้หยดน้ำตาเทียมเติมความชุ่มชื้นระหว่างวัน   การใส่คอนเเทคเลนส์นาน ทำให้กระจกตาบางจริงไหม กระจกตาแต่ละคนมีความหนาแตกต่างกันตามธรรมชาติ การใส่คอนเเทคเลนส์อาจทำให้ตาแห้งได้ แต่ไม่ได้ส่งผลต่อความหนาของกระจกตาโดยตรง การหยุดใส่คอนเเทคเลนส์ช่วยให้อาการตาแห้งดีขึ้น แต่กระจกตาจะไม่กลับมาหนาขึ้น   เผลอใส่คอนเเทคเลนส์นอน เป็นอะไรไหม ดวงตาต้องการออกซิเจนตลอดเวลา แต่เมื่อใส่คอนเเทคเลนส์ ไม่ว่าจะรายวันหรือรายเดือน ดวงตาจะได้รับออกซิเจนน้อยกว่าปกติ หากนอนหลับขณะใส่เลนส์จะทำให้ออกซิเจนลดลงมาก เพราะเปลือกตาปิดกระจกตาไม่สามารถรับอากาศได้ ส่งผลให้ตาแดง ระคายเคือง และเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายขึ้น   ผู้เขียนบทความ : รศ.นพ.อนันต์ วงศ์ทองศรี จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา (LASIK) ต้อกระจก รักษาโรคตาทั่วไป

ที่อยู่

ช่องทางติดต่อ

calling
ติดต่อเรา :