มุมสุขภาพตา : #FemtoLASIK

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์เลสิก LASER VISION

สายตายาวเกิดจากอะไร? รู้ทันสาเหตุและวิธีแก้ไขง่ายๆ ที่ได้ผลชัวร์

สายตายาวคือการที่กระจกตาหรือเลนส์ตาไม่สามารถโฟกัสแสงที่ให้ตรงจุดที่จอตา ทำให้มองเห็นวัตถุใกล้ไม่ชัด มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกระจกตาหรือเลนส์ตาเมื่ออายุเพิ่มขึ้น หรืออาจเป็นผลจากกรรมพันธุ์ การรักษาสายตายาวสามารถทำได้โดยการใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ที่เหมาะสมเพื่อช่วยโฟกัสแสงให้ถูกต้อง หรือเลือกทำการผ่าตัดเลสิกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใส่แว่นตา รวมถึงการดูแลสุขภาพตาและพักสายตาก็เป็นสิ่งสำคัญ การป้องกันสายตายาวสามารถทำได้โดยการพักสายตาทุก 20 นาที เมื่อใช้สายตานานๆ รักษาระยะห่างจากหน้าจอให้เหมาะสม และตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีสารบำรุงสายตาก็ช่วยป้องกันได้ รู้ไหมว่าสายตายาวเป็นปัญหาที่หลายคนอาจจะไม่ทันสังเกต โดยทั่วไปแล้วสายตายาวเกิดจากการใช้สายตามากเกินไป หรืออาจเกิดจากความผิดปกติในดวงตาที่ทำให้การโฟกัสแสงที่กระทบตาผิดปกติ ส่งผลให้มองเห็นสิ่งใกล้ตัวไม่ชัดเจน  ปัญหานี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เมื่อเกิดแล้วสามารถรักษาและแก้ไขได้ด้วยวิธีที่หลากหลาย ทั้งการปรับพฤติกรรมหรือการรักษาทางการแพทย์ ลองมาทำความเข้าใจสาเหตุ วิธีป้องกัน และวิธีแก้ไขที่ได้ผลชัวร์ไปพร้อมกันในบทความนี้   รู้ทันสาเหตุ สายตายาวเกิดจากอะไร? สายตายาว (Hyperopia) เกิดจากความผิดปกติในการโฟกัสแสงที่กระทบตา ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวไม่ชัดเจน แต่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ไกลได้ชัดเจน สาเหตุหลักของปัญหานี้มาจากการที่แสงที่กระทบตาไม่ได้โฟกัสตรงจุดกระทบของจอตา (Retina) แต่จะไปกระทบที่หลังจอตาแทน ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้ รูปทรงของลูกตา ถ้าลูกตายาวเกินไปหรือมีลักษณะเป็นทรงกลมเกินไป แสงที่ผ่านเข้ามาจะไม่โฟกัสตรงที่จอตาแต่จะกระทบหลังจอตา ทำให้มองเห็นสิ่งใกล้ตัวไม่ชัดเจน ความผิดปกติของกระจกตา (Cornea) หากกระจกตามีความโค้งที่ไม่เหมาะสม เช่น โค้งน้อยเกินไป แสงที่เข้ามาจะไม่ได้โฟกัสที่จอตาอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดปัญหาการมองเห็น ปัญหาของเลนส์ในตา (Lens) ถ้าเลนส์ในตายืดหยุ่นน้อยหรือมีความผิดปกติในการปรับโฟกัส ก็สามารถทำให้แสงไม่สามารถรวมตัวที่จอตาได้ จึงทำให้มองเห็นสิ่งที่ใกล้ตัวไม่ชัด โดยทั่วไปแล้วสาเหตุของสายตายาวอาจเกิดจากกรรมพันธุ์หรืออาจเกิดขึ้นจากการใช้สายตาใกล้มากเกินไปในช่วงเวลานานๆ ซึ่งสามารถทำให้เกิดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อตาได้ ทั้งหมดนี้สามารถรักษาหรือปรับแก้ได้ผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การใส่แว่นตาหรือการทำเลเซอร์ตา เป็นต้น สังเกตอาการสายตาเป็นอย่างไร อาการของสายตายาวหรือที่บางคนเรียกกันว่าตาไกลมักจะมีอาการ ดังนี้ มองใกล้ไม่ชัด หากต้องอ่านหนังสือ หรือมองสิ่งของที่อยู่ใกล้ๆ จะรู้สึกไม่ชัดเจนและอาจเกิดอาการตาล้าหรือปวดตาได้ ต้องเพ่งหรือหลับตา เพื่อให้ภาพที่มองอยู่ชัดขึ้น อาจจะต้องเพ่งหรือหลับตาเล็กน้อย ปวดตาหรือปวดหัว เมื่อพยายามเพ่งมองหรือใช้สายตามากๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดตาหรือปวดหัว มองไกลชัด คนที่มีอาการสายตายาวจะมองสิ่งที่อยู่ไกลได้ชัดเจน แต่จะมีปัญหาเมื่อมองสิ่งที่อยู่ใกล้   หากมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจสายตาและรับการรักษา     แนวทางการรักษาสายตายาว การรักษาและวิธีแก้ไขสายตายาวมีหลายวิธีที่สามารถช่วยให้ผู้ที่มีปัญหานี้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาและความสะดวกของผู้ที่ต้องการรักษา โดยสายตายาวมีวิธีแก้ ดังนี้ การใส่แว่นตา แว่นตาสำหรับสายตายาวเป็นวิธีรักษาสายตายาวด้วยวิธีธรรมชาติ ที่ง่ายและปลอดภัยที่สุดในการช่วยปรับการโฟกัสแสงให้เข้าสู่จอตาอย่างถูกต้อง แว่นตาจะช่วยปรับแสงที่เข้าสู่ดวงตาให้โฟกัสได้ตรงจุดทำให้มองเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้ได้ชัดเจนขึ้น การเลือกแว่นตาควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อวัดค่าสายตาและเลือกแว่นที่เหมาะสมกับสภาพดวงตาของเรา การใช้คอนแท็กต์เลนส์ อีกหนึ่งวิธีแก้สายตายาวคือการใส่คอนแท็กต์เลนส์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ชอบใส่แว่นตา โดยจะทำงานคล้ายกับแว่นตาในการปรับการโฟกัสแสงให้เข้าสู่จอตา แต่จะใส่ติดกับตาเลย ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องมีกรอบแว่น การทำเลเซอร์ (LASIK) เลสิก (Lasik) เป็นการผ่าตัดเลเซอร์ที่ใช้ในการปรับรูปร่างของกระจกตาเพื่อปรับการโฟกัสแสงให้เกิดการมุ่งตรงไปที่จอตาแทนการกระทบหลังจอตา ซึ่งจะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น การทำเลสิกเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ แต่ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนการทำการรักษาเพื่อตรวจสอบความเหมาะสม การเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม REL การเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม หรือ Refractive Lens Exchange (RLE) ถือเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาสายตายาวตามอายุ RLE ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป  Femto RLE (การแก้ไขปัญหาสายตายาวแบบไร้ใบมีด) เทคโนโลยีการผ่าตัดที่ใช้เลเซอร์ Femtosecond ในการทำหัตถการ ไม่ต้องใช้ใบมีดในการผ่าตัด ทำให้ปลอดภัยมากขึ้น ให้ความแม่นยำสูงในการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ การรักษาด้วยวิธีการเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียม (RLE) เป็นการรักษาภาวะสายตายาวตามอายุที่เน้นการแก้ไขปัญหาบริเวณเลนส์แก้วตา โดยแพทย์จะทำการเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเดิมที่เริ่มเสื่อมสภาพออกไป แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้ามาแทนที่ RLE เป็นวิธีการรักษาสายตายาวตามอายุ (Presbyopia) ที่เกิดขึ้นในผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป แพทย์จะทำการเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเดิมที่เริ่มเสื่อมสภาพออกไป แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้ามาแทนที่ RLE เลนส์แก้วตาเทียมที่ออกแบบมาสำหรับการรักษาสายตายาวตามอายุโดยเฉพาะ RLE แตกต่างจาก LASIK ที่เน้นปรับเปลี่ยนรูปร่างกระจกตา RLE เน้นการเปลี่ยนเลนส์โดยตรง ช่วยแก้ปัญหาการมองเห็นที่ต้องยื่นหนังสือให้ไกลจากตัวเองจึงจะเห็น   การปรับพฤติกรรมการใช้สายตา หากต้องใช้สายตาจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือเป็นเวลานาน ควรพักสายตาทุก 20 นาที โดยการมองไปที่จุดไกลๆ 20 ฟุต ประมาณ 20 วินาที รวมทั้งการใช้แสงสว่างที่เหมาะสมควรใช้งานในที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อไม่ให้ดวงตาต้องทำงานหนักเกินไป และการรักษาท่าทางการนั่งที่ถูกต้อง ให้มีระยะห่างที่เหมาะสมจากหน้าจอคอมพิวเตอร์จะช่วยลดความตึงเครียดของดวงตา การรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัดเล็ก (ในกรณีเฉพาะ) บางกรณีอาจต้องใช้ยาเฉพาะหรือผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาสายตายาว หากมีความผิดปกติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็น การตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปีเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจพบปัญหาสายตายาวแต่เนิ่นๆ และป้องกันการเกิดปัญหาที่รุนแรงในอนาคต   การรักษาสายตายาวสามารถช่วยให้ผู้ที่มีปัญหานี้สามารถมองเห็นได้ดีขึ้น แต่การเลือกวิธีรักษาขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานการณ์ของแต่ละคน ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมที่สุด     7 วิธีป้องกันสายตายาว ทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน การป้องกันการเกิดสายตายาวสามารถทำได้โดยการดูแลตาและปรับพฤติกรรมการใช้สายตา ดังนี้ การพักสายตาโดยใช้หลัก 20-20-20 ทุก 20 นาที มองไปที่จุดไกล 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที เพื่อลดความเครียดที่ดวงตา การรักษาระยะห่างที่เหมาะสมจากหน้าจอประมาณ 20-30 นิ้ว และปรับความสูงให้เหมาะสม การปรับแสงสว่างที่เพียงพอ ไม่ให้แสงสะท้อนตรงตา เพื่อให้ตาทำงานน้อยลง การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอเพื่อพบปัญหาและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานอาหารที่มีวิตามิน A, C, E และสารอาหารบำรุงสายตา เช่น ผักใบเขียว แครอท และผลไม้ การใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ที่แพทย์แนะนำหากมีปัญหาสายตา เพื่อลดความเครียดที่ดวงตา การหลีกเลี่ยงการใช้งานที่ทำให้ตาเครียด หลีกเลี่ยงการใช้สายตานานๆ โดยไม่พัก หากใช้สายตานาน ควรหยุดพักและเปลี่ยนกิจกรรมบ้าง รักษาสายตายาว ที่ศูนย์รักษาตา Bangkok Eye Hospital ดีอย่างไร Bangkok Eye Hospital ให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาสายตายาวด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือทันสมัย โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ พร้อมทั้งการประเมินสภาพดวงตาอย่างละเอียดและการแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล การตรวจสุขภาพตาและวินิจฉัยสายตายาว โดยใช้เทคโนโลยีล่าสุดในการตรวจสภาพตาและค่าสายตาเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง การปรับการมองเห็นด้วยแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ โดยแนะนำการใช้แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ที่เหมาะสมกับสภาพดวงตา การผ่าตัดเลเซอร์ LASIK สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการพึ่งพาแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ เรามีบริการผ่าตัด ทำเลสิกที่ช่วยปรับการโฟกัสแสงให้ตรงจุด การติดตามผลและการรักษาระยะยาว หลังการรักษา เรามีการติดตามผลและให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพตาอย่างต่อเนื่อง สรุป สายตายาวเกิดจากการที่แสงไม่สามารถโฟกัสที่จอตาอย่างถูกต้อง ซึ่งทำให้มองเห็นสิ่งใกล้ไม่ชัดเจน สาเหตุหลักมาจากความผิดปกติในกระจกตาหรือเลนส์ตา เช่น กระจกตาที่โค้งน้อยเกินไป หรือการยืดหยุ่นของเลนส์ที่ลดลงตามอายุ การรักษาสายตายาวสามารถทำได้ด้วยการใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ หรือการทำเลเซอร์ เลสิกเพื่อปรับการโฟกัสแสงให้ถูกต้อง   นอกจากนี้ยังควรพักสายตาและตรวจสุขภาพตาเป็นประจำเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น หากมีภาวะสายตายาว Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาสายตายาวด้วยการใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการตรวจวินิจฉัยและรักษาสายตายาว โดยผู้ชำนาญการ พร้อมการให้คำแนะนำการรักษาที่เหมาะสม โดยมีบริการผ่าตัด LASIK และการปรับการมองเห็นด้วยแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ รวมถึงการติดตามผลหลังการรักษา อ่านบทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำเลสิกที่ไหนดี? เปรียบเทียบเทคนิคและเกณฑ์การเลือกโรงพยาบาล  เลสิกสายตาเอียง แก้ไขปัญหาภาพเบลอ ภาพไม่ชัด กับข้อควรรู้ก่อนทำ เลสิกสายตาสั้น บอกลาปัญหามองเห็นไม่ชัด พร้อมการเตรียมตัวก่อนทำ FAQ – คำถามที่พบบ่อย เริ่มสายตายาวที่อายุเท่าไร? สายตายาวมักเริ่มเกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากเลนส์ตาเริ่มเสื่อมและยืดหยุ่นน้อยลง ทำให้การโฟกัสสิ่งใกล้ไม่ชัดเจน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของกระบวนการชราภาพตา ค่าสายตายาววัดได้ระดับ ค่าสายตายาวมี 3 ระดับหลัก ได้แก่ ระดับเบา (ต่ำกว่า +2.00 Diopter) ระดับปานกลาง (ระหว่าง +2.00 ถึง +4.00 Diopter) และระดับรุนแรง (สูงกว่า +4.00 Diopter) ซึ่งแต่ละระดับจะมีผลกระทบต่อการมองเห็นที่แตกต่างกัน และจำเป็นต้องเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม สายตายาวเท่าไรควรใส่แว่น ควรใส่แว่นเมื่อมีสายตายาวประมาณ +0.5 Diopter ขึ้นไป หรือเมื่อมีอาการมองใกล้ไม่ชัดหรือปวดตา วิธีสังเกตอาการสายตายาว อาการสายตายาวสามารถสังเกตได้จากการมองเห็นสิ่งใกล้ไม่ชัดเจน หรือรู้สึกเมื่อยตาหรือปวดตาหลังจากการอ่านหรือทำกิจกรรมที่ใช้สายตานานๆ
ศูนย์เลสิก LASER VISION

วิธีทำเลสิกเลือกด้วยตัวเองได้ไหม?

วิธีทำเลสิกเลือกด้วยตัวเองได้ไหม? วิธีทำเลสิกเลือกด้วยตัวเองได้ไหม?      หนึ่งในข้อสงสัยที่สอบถามกันเข้ามาอย่างมากมาย คือ ทำเลสิกแบบไหนดี? ฉันเลือกเองได้ไหม? หรือต้องให้หมอเลือก? ซึ่งในวันนี้ Laser Vision จะขอตอบให้เคลียร์ทุกคำถามเกี่ยวกับการทำเลสิกแต่ละวิธี และวิธีการทำเลสิกแบบไหนเป็นวิธีที่เหมาะสมกับคุณ? Laser Vision มีการให้บริการรักษาสายตาไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตาเอียง หรือสายตายาวทั้งหมด 4 รูปแบบด้วยกัน โดยแต่ละรูปแบบก็จะมีข้อจำกัดและขอบเขตในการรักษาที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้   PRK      PRK เป็นการรักษาที่เริ่มต้นมายาวนาน การรักษาสายตาด้วยวิธีนี้จะเริ่มจาก การลอกผิวกระจกตาชั้นนอกสุดก่อน จากนั้นจะใช้ Excimer Laser ทำการปรับผิวกระจกตาให้ได้ความโค้งที่พอดีกับค่าสายตา วิธีนี้จะไม่มีการแยกขั้นกระจกตา เหมาะกับการรักษาสายตาผิดปกติสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้น สายตาเอียง หรือสายตายาวที่ไม่มากเกินไป ต้องอาศัยการพักฟื้นที่ยาวนานกว่า อย่างน้อยประมาณ 1 สัปดาห์ และอาจต้องมีการติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง   LASIK      LASIK หรือ Laser In Situ Keratomileusis เป็นการรักษาที่ได้รับการพัฒนาต่อมาจากการรักษาด้วยวิธี PRK และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย โดยวิธีนี้จะมีขั้นตอนการแยกชั้นกระจกตาด้วยใบมีดขนาดเล็ก และเปิดชั้นกระจกตาออก จากนั้นจึงใช้ Excimer Laser ไปปรับความโค้งของผิวกระจกตาชั้นกลางเพื่อให้ได้ค่าความโค้งที่พอดี แล้วปิดกระจกตากลับเข้าตำแหน่งเดิม การรักษาด้วยวิธีเลสิกนี้ทำให้เพิ่มโอกาสในการรักษาสำหรับผู้ที่มีสายตาผิดปกติในระดับสูงได้ ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตาเอียง หรือสายตายาว และยังใช้เวลาในการพักฟื้นเพียง 1 วันก็กลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ   NanoLASIK      NanoLASIK เป็นวิธีการรักษาสายตาที่ทันสมัยมากขึ้น และได้รับความนิยมมากที่สุด วิธีนี้จะเป็นการรักษาโดยใช้แสงเลเซอร์ในทุกขั้นตอน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบมีด (Bladeless) โดยขั้นตอนในการแยกชั้นกระจกตาจะใช้เลเซอร์ที่เรียกว่า Femtosecond Laser ที่มีพลังงานน้อยกว่า ในระดับนาโนจูล ในการแยกชั้นกระจกตาแทน แล้วค่อยใช้ Excimer Laser ทำการปรับผิวกระจกตาให้ได้ค่าสายตาตามต้องการ วิธีนี้สามารถเพิ่มโอกาสให้กับผู้ที่มีสายตาผิดปกติในระดับสูงได้มากขึ้น และยังช่วยลดอาการระคายเคืองได้   NanoRelex      NanoRelex ถือเป็นวิธีการรักษาสายตาที่ทันสมัยที่สุด โดยการใช้ Femtosecond Laser ยิงเข้าไปตัดแต่งเนื้อเยื่อในชั้นกระจกตาเพื่อปรับค่าสายตาให้เป็นปกติ จากนั้นนำกระจกตาส่วนเกินออกมาผ่านทางแผลขนาดเล็ก ๆ เพียง 2-3 มม. การรักษาสายตาด้วยวิธี NanoRelex นี้ จะไม่มีการแยกชั้นกระจกตา และแผลมีขนาดเล็กมาก ๆ จึงถือเป็นการรักษาที่มีความอ่อนโยนต่อดวงตามากที่สุด และยังรักษาความแข็งแรงให้กระจกตาได้ แต่วิธี NanoRelex นั้น จะเหมาะกับผู้ที่มีสายตาสั้น หรือสายตาเอียงเท่านั้น ยังไม่สามารถรักษาสายตายาวโดยกำเนิดได้      หลังจากทราบถึงความแตกต่างของการรักษาแต่ละวิธีแล้ว จะเห็นได้ว่า “ดวงตาของคุณ” จะเป็นผู้ให้คำตอบเองว่า คุณสามารถเข้ารับการรักษาสายตาด้วยวิธีใดได้บ้าง      และนอกเหนือจากข้อมูลด้านสภาพดวงตา และวิธีการรักษาสายตาแต่ละแบบแล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคลก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทีมแพทย์นำมาพิจารณาแนะนำวิธีการทำเลสิกที่เหมาะสมที่สุด การทำเลสิกแต่ละชนิดก็ยังมีข้อระวังเรื่องการดูแลหลังการรักษาและการพักฟื้นที่แตกต่างกันออกไปอีกด้วย ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะเลือกทำเลสิกวิธีใด จึงควรเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างคนไข้และแพทย์ เพื่อการมองเห็นที่ดีที่สุดของคุณ และขอให้วางใจใน Laser Vision เพราะจักษุแพทย์ของเราเป็นทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระจกตาและการรักษาสายตาผิดปกติโดยเฉพาะที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์การรักษาที่ยาวนาน
ศูนย์เลสิก LASER VISION

คุ้มค่ามากกว่าที่ผ่านมาด้วย NanoRelex

คุ้มค่ามากกว่าที่ผ่านมาด้วย NanoRelex คุ้มค่ามากกว่าที่ผ่านมาด้วย NanoRelex      ถ้าหากจะต้องเลือกวิธีในการรักษาสายตาคู่นี้ให้กับคุณหรือคนที่คุณรักแล้วล่ะก็ หนึ่งในทางเลือกที่น่าตัดสินใจในวิธีการทำ LASIK ก็คงไม่พ้นวิธีการแบบ FemtoLASIK หรือ ReLEx SMILE แต่ก่อนที่คุณจะรีบตัดสินใจลองมาทำความรู้จักกับ NanoRelex เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากสวิซเซอร์แลนด์ ที่ไม่ใช่แค่ดีกว่า แต่มากกว่าด้วยความคุ้มค่าจากปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ (Artificial Intelligence : AI)   ทำความรู้จักกับ NanoRelex      ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักการทำ LASIK ทั่วไปกันก่อน LASIK หรือ Laser In-Situ Keratomileusis เป็นเทคโนโลยีรักษาสายตาโดยใช้แสงเลเซอร์ ที่ใช้รักษาสายตาทั้งสั้น ยาว หรือ เอียง ให้กลับมามองเห็นชัดสดใสเหมือนเดิม การทำ LASIK เป็นเทคโนโลยีที่มีมานานมากแล้ว กว่า 20 ปี แต่ความเข้าใจของคนทั่วไปอาจจะนึกถึงภาพของ LASIK ที่ใช้ใบมีดในการเปิดกระจกตา ก่อนที่จะใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตา จากนั้นก็จะเป็นภาพที่เห็นได้ประจำ ที่มีคนใส่ที่ครอบตาเป็นเวลานานอยู่หลายวัน   ส่วนอีกวิธีการหนึ่งคือ FemtoLASIK      ที่จะเป็นการใช้เลเซอร์แทนใบมีดในการปรับความโค้งของกระจกตา ที่จะมีความแม่นยำสูงกว่า แผลสมานหายเร็ว เพียงแค่ 1 คืนก็สามารถถอดที่ครอบตาออกได้แล้ว ในขณะที่เทคโนโลยีแบบ ReLEx SMILE เป็นการนำเทคโนโลยี FemtoLASIK มาต่อยอดและพัฒนาวิธีการผ่าตัดโดยใช้เครื่อง Femtosecond Laser ทำการแยกชิ้นกระจกตาเป็นเลนส์ 3มิติ ขนาดเล็กเรียกว่า Lenticules และนำชิ้นเลนส์นั้นออกมาผ่านช่องขนาดเล็กเพียง 2-4 มม. โดยไม่มีการใช้ Excimer Laser จึงใช้เวลาในการรักษา ลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นวิธีการล่าสุดในการทำ LASIK ในปัจจุบัน และใช้เวลาในการทำลดลงกว่าครึ่ง ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในการทำ LASIK ในปัจจุบัน      แต่คำว่าใหม่ล่าสุดนั้นคงไม่ใช่อีกต่อไป เพราะตอนนี้ Laser Vision ได้นำเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากสวิซเซอร์แลนด์ส่งตรงถึงดวงตาของคนไทย กับ NanoRelex ที่มาพร้อมระบบ AI อัจฉริยะ ใช้พลังงานน้อยที่สุดในการรักษาเพียงระดับนาโนจูลเท่านั้น คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บขณะผ่าตัด พร้อมระบบติดตามการกรอกตาที่ช่วยให้การทำเลสิกมีความแม่นยำกว่าเดิม ลดขั้นตอนในการเปิดและปิดชั้นกระจกตาทำให้เวลาผ่าตัดน้อยลง และหลังผ่าตัดก็ไม่ส่งผลกระทบให้ตาระคายเคือง ที่สำคัญแผลจากการทำเลสิกสามารถหายได้ภายใน 24 ชม. เพียงแค่หลับตาโลกก็กลับมาสดใสเหมือนใหม่ คุ้มค่าและประหยัดเวลามากกว่าที่เคย
ศูนย์เลสิก LASER VISION

NanoLASIK เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของการทำ LASIK ที่จะมาช่วยยกระดับการมองเห็นของคุณ

NanoLASIK เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของการทำ LASIK ที่จะมาช่วยยกระดับการมองเห็นของคุณ NanoLASIK เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของการทำ LASIK ที่จะมาช่วยยกระดับการมองเห็นของคุณ      ถ้าหากคุณเป็นคนมีปัญหาสายตา และตัดสินใจจะแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการทำ LASIK แล้วล่ะก็ สุดยอดเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากสวิตเซอร์แลนด์ NanoLASIK อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่คุณอาจจะต้องนำมาตัดสินใจ ด้วยสุดยอดเทคโนโลยีระดับนาโน ใช้ระยะเวลาฟื้นตัวไว ที่จะทำให้การมองเห็นของคุณกลับมาสดใสอย่างรวดเร็ว เมื่อพูดถึงปัญหาสายตาการใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่มักจะใช้แก้ปัญหาสายตัวทั่วไป อย่างไรก็ตามการใช้แว่นก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาความรำคาญ ไม่ว่าจะเป็นการหลงลืมแว่นตาตามสถานที่ต่างๆ รวมไปถึงการขับรถ ในขณะเดียวกันการใช้คอนแทคเลนส์ก็อาจจะทำให้เผชิญกับปัญหาการระคายเคือง และอีกหนึ่งทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจคือการทำ “เลสิก (LASIK)” ที่ยกระดับสายตาของคุณให้ดีขึ้นถาวร   LASIK คือ      LASIK หรือ Laser In-Situ Keratomileusis เป็นเทคโนโลยีรักษาสายตาโดยใช้แสงเลเซอร์ สามารถรักษาได้ทั้งสายตาสั้น สายตายาว และสายตาเอียง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่โดดเด่นทางการแพทย์ ที่มาพร้อมกับความสะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว การทำเลสิคมีหลากหลายรูปแบบ ในความเข้าใจทั่วไป LASIK หมายถึงการทำเลสิคแบบใบมีด Microkeratome LASIK, Blade LASIK, หรือ LASIK) เป็นเทคนิคที่ใช้ใบมีดขนาดเล็กเปิดฝากระจกตาขึ้น ก่อนใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer laser) ปรับแต่งความโค้งของกระจกตาให้ได้ค่าสายตาที่ต้องการ จากนั้นปิดกระจกตากลับเข้าที่เดิม   FemtoLASIK คืออะไร      FemtoLASIK หรือ เฟมโตเลสิก เป็นวิธีการรักษาสายตาด้วยเลเซอร์ระดับเฟมโต (Femtosecond Laser) แทนใบมีดในการเปิดฝากระจกตา ก่อนที่จะใช้เอ็กไซเมอร์เลเซอร์ (Excimer laser) ปรับแต่งความโค้งของกระจกตาให้ได้ค่าสายตาที่ต้องการ เป็นการใช้เลเซอร์สำหรับการรักษาตลอดการรักษา และมีความแม่นยำมากกว่าการทำ LASIK แต่ก็ยังต้องมีการพักฟื้นการใช้สายตาเป็นเวลา 2 – 3 วัน   นวัตกรรม NanoLASIK      นวัตกรรมใหม่ล่าสุด NanoLASIK ซึ่งเป็นการต่อยอดพัฒนาจาก FemtoLASIK ซึ่งเป็นการนำเลเซอร์ที่ใช้พลังงานระดับต่ำ  ด้วยความแม่นยำระดับนาโนจากระบบปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ (AI) ป้องกันการเคลื่อนของกระจกตาที่อาจเกิดขึ้นด้วยวิธีทำเลสิคแบบเดิม พร้อมกับโปรแกรมประหยัดเนื้อกระจกตาในการรองรับผู้ที่มีสายตาสั้นมากกว่าปกติ หายห่วงเรื่องสภาวะแทรกซ้อน อ่อนโยนกับดวงตา และที่สำคัญใช้เวลาพักฟื้นเพียงแค่ 1 วัน โลกก็สดใสสามารถกลับไปทำกิจกรรมเดิมๆ ได้เหมือนใหม่ มอบอิสระในการใช้ชีวิตด้วยการทำเลสิกจากทีมแพทย์ที่มากประสบการณ์

ที่อยู่

ช่องทางติดต่อ

calling
ติดต่อเรา :