มุมสุขภาพตา : #Eyes Health

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก

สงกรานต์ปลอดภัย ห่างไกลตาอักเสบ

สงกรานต์ปลอดภัย ห่างไกลตาอักเสบ ดวงตา เป็นอวัยวะเสี่ยงต่อการติดชื้อโรคต่างๆได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากน้ำที่ไม่สะอาด      น้ำสงกรานต์ที่เล่นกันอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือแม้กระทั่งเชื้อรา ที่สามารถติดมากับน้ำได้ การสังเกตุก่อนเล่นน้ำ ควรสังเกตุว่าน้ำที่นำมาเล่นมีการปนเปื้อนของฝุ่น หิน ดิน ทราย หรือคราบสกปรกหรือไม่   โรคตาที่อาจเกิดขึ้นได้จากน้ำไม่สะอาด และมีสารปนเปื้อน     เยื่อบุตาอักเสบ      อาการ ตาแดง คันตา มีขี้ตา น้ำตามาก เกิดการอักเสบบริเวณตาขาว สาเหตุเกิดจากการแพ้ การติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส จากสารเคมี     การถลอกของกระจกตา      หรือแผลที่กระจกตา กระจกตาหรือตาดำเป็นส่วนผิวของตาที่มีความใส การถลอกจะเกิดขึ้นเมื่อถูกวัตถุไปขูดที่ผิวของตาดำ จากของกระเด็นเข้าตา หรือจากการใช้คอนแทคเลนส์ไม่ถูกวิธี ถ้าเป็นมากจะเกิดการติดเชื้อและทำให้เกิดแผลที่ตาดำได้     ตากุ้งยิง      เกิดจาก การอักเสบของต่อมไขมันบริเวณเปลือกตา ซึ่งโดยปกติแล้วสามารถระบายไขมันออกมาได้โดยผ่านทางรูระบายเล็กๆใกล้ๆขนตา แต่หากมีการอุดตัน เช่น จากฝุ่น ก็อาจทำให้เกิดการอุดตันเป็นก้อนบริเวณเปลือกตา     ตาแดง      อาการตาขาวบวมแดง มีขี้ตามาก ระคายเคืองตา คันหรือเจ็บตา ปวดตา สู้แสงไม่ได้ น้ำตาไหลมาก ถ้าน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา แนะนำให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำยาล้างตาเบื้องต้น สังเกตุอาการหลังจากนั้นว่า มีอาการดีขึ้นหรือไม่ หากไม่ดีขึ้นใน 1-2 วันควรรีบพบแพทย์   ข้อควรระวังเมื่อเล่นสงกรานต์ ก่อนเล่นน้ำควรสังเกตุว่าน้ำที่นำมาเล่น สะอาดเพียงพอหรือไม่ ระมัดระวังไม่ให้น้ำเข้าตาโดยตรง กรณีมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา ไม่ควรขยี้ตาเพราะอาจทำให้กระจกตาถลอกได้ ควรรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาด กรณีสังเกตุว่ามีสารปนเปื้อนมากับน้ำทำให้แสบตา เคืองตา คันตา ควรล้างน้ำสะอาดด้วยการเปิดน้ำให้ไหลผ่านเข้าตา หากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการอย่างทันท่วงที สำหรับผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ ไม่แนะนำให้ใส่คอนแทคเลนส์เล่นน้ำหรือหากจำเป็นควรใส่แบบรายวัน ป้องกันการติดเชื้อจากคอนแทคเลนส์ หลังการเล่นน้ำสงกรานต์ทุกครั้ง ให้สังเกตุว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาหรือไม่ หากรู้สึกมีอาการเคืองตาให้รีบล้างออกด้วยน้ำสะอาด หากอาการเคืองตาไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจดูต่อไป
ศูนย์เลสิก LASER VISION

โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้

โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ เยื่อบุตาอักเสบอาจจะเกิดจากภูมิแพ้หรือเกิดจากการติดเชื้อโรคก็ได้      อาการทางภูมิแพ้มักจะเกิดที่ตาเนื่องจากตาเป็นอวัยวะที่มีเลือดไปเลี้ยงมาก เส้นเลือดเหล่านี้ตอบสนองต่อสารภูมิแพ้ได้ง่าย และที่สำคัญตาสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอกเมื่อคุณได้รับสารก่อภูมิแพ้เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่น รังแคสัตว์ ยา ควันบุหรี่ สารภูมิแพ้เหล่านั้นจะละลายในน้ำตา และกลับสู่เยื่อบุตาซึ่งจะสร้างสารต่อต้านสารภูมิแพ้ที่เรียกว่า Antibody IgE เมื่อภูมิจับกับ antibody จะเกิดการหลั่งสารหลายอย่างทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ขึ้น ตาของคุณก็จะมีอาการเคือง แดงและมีน้ำตาไหล หนังตามักจะปกติ การมองเห็นจะปกติ และไม่แนะนำให้ใส่ contact lens เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย   ชนิดของเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ conjunctivitis เป็นเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยที่สุด มักจะมีอาการน้ำมูกไหลร่วมด้วย อาการที่สำคัญคือ มีน้ำตาไหล เคืองตา มักจะเป็นกับตาสองข้าง อาการมักจะเป็นตามฤดูกาล   Perrennial allergic conjunctivitis  เป็นการเกิดภูมิแพ้ที่เกิดจากสารภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นตลอดปี พบได้น้อยกว่าชนิดแรก อาการมักจะน้อกว่าชนิดแรก   Atopic Keratoconjuntivitis มักจะพบร่วมกับผื่น atopic ของผิวหนังที่หนังตา และหน้า อาการที่พบร่วมคือ ตาแดง เคืองตา คัน น้ำตาไหล   ลักษณะสำคัญที่บ่งบอกเยื่อบุตาอักเสบเกิดจากภูมิแพ้ อาการคันในตาเป็นอาการที่สำคัญ หากติดเชื้อจะเป็นอาการปวดแสบร้อน น้ำตาจะเป็นน้ำใส หากติดเชื้อจะเป็นเมือกหรือหนอง มักจะมีการอักเสบของเปลือกตา ผู้ป่วยมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว   การป้องกัน        ควรจะหลีกเลี่ยงจากสารก่อภูมิแพ้ เช่นไม่ไปเดินในที่มีเกสรดอกไม้ ไม่ไปในที่มีควันบุหรี่ กอฟาง   การดูแลตัวเอง      เมื่อเกิดอาการเคืองตาและสงสัยว่าเกิดจากภูมิแพ้ควรจะหลีกเลี่ยงจากสิ่งก่อภูมิแพ้ทันที อาจจะซื้อน้ำตาเทียมซึ่งจะทำให้ลดอาการบวมและชะล้างสารก่อภูมิแพ้ ใช้ผ้าเย็นปิดตาเพื่อลดอาการบวม อาจจะซื้อยาแก้แพ้รับประทาน หากดูแลตัวเองแล้วยังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ซึ่งจะให้ยาหยอดตาแก้แพ้   หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่แพ้ บางครั้งอาจจะต้องใช้น้ำสะอาดล้างตา ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม   การใช้ยาเพื่อรักษา ใช้ยาแก้แพ้ antihistamine ซึ่งใช้ได้ทั้งชนิดยาหยอดตาและยารับประทาน ยาหยอดตาเพื่อให้หลอดเลือดหดตัวเพื่อลดอาการบวมของเยื่อบุตา ยาหยอดตา steroid
ศูนย์เลสิก LASER VISION

แว่นกันแดด

แว่นกันแดด คุณภาพของแว่นกันแดดแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ยิ่งราคาถูกเท่าไหร่ ยิ่งทำร้ายสุขภาพตามากขึ้นเท่านั้น      เพราะวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ประกอบเป็นแว่นกันแดดนั้น ไม่ได้มาตรฐาน คุณภาพต่ำ เลนส์แว่นกันแดดบางอันทำจากพลาสติก ติดแผ่นฟิล์มที่ไม่ได้คุณภาพ บ้างทำจากกระจกธรรมดา ซึ่งเมื่อเวลาใช้มองภาพอาจทำให้ภาพที่เห็นผิดเพี้ยนไปจากความจริง      ผู้ที่มีความจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับแสงแดดจ้า เช่น ขับรถในเวลากลางวัน เล่นกีฬาหรือทำงานกลางเปลวแดด ควรเลือกแว่นกันแดดชนิด โพลารอยด์ ซึ่งมีส่วนประกอบของ โพลาไรซ์เพลต ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันแสงที่สะท้อนผ่านเลนส์ ไม่ทำให้สายตาพร่ามัว และช่วยตัดแสงที่ทำมุม 45 องศาที่เข้ามากระทบกับดวงตาได้ดี
นอกจากนี้ยังช่วยตัดแสงทำให้ไม่เห็นภาพลวงตา ที่เกิดการหักเหของแสงบนพื้นถนนและยังช่วยลดความเข้มของแสง ป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อตาและประสาทตาเกิดอาการอ่อนล้า รวมทั้งช่วยไม่ให้เกิดอาการง่วงนอน ขณะที่สายตาจ้องมองฝ่าเปลวแดดติดต่อกันเป็นเวลานาน      ปัจจุบันแว่นกันแดดยังมีแบบสีชาซึ่งเหมาะสมกับสภาพแดดจ้า โดยเฉพาะแดดชายทะเล แดดบนภูเขา แว่นกันแดดที่มีกระจกเลนส์สีนี้จะช่วยให้มองเห็นโครงร่างต่างๆ ของวัตถุได้อย่างชัดเจนและในวันที่ท้องฟ้าขมุกขมัวมีหมอกจัด แว่นชนิดนี้ยังทำหน้าที่เสมือนไฟตัดหมอกคล้ายกับไฟของรถยนต์ ทำให้ผู้สวมใส่มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างชัดเจนขึ้น      วิธีที่ดีที่สุดในการเลือกแว่นกันแดด ควรดูจากใบแจ้งคุณภาพแว่นว่าทำจากวัสดุชนิดใด มีคุณสมบัติช่วยลดความเข้มของแสงได้หรือไม่ และที่สำคัญช่วยกรองแสงได้กี่เปอร์เซ็นต์   ควรซื้อแว่นกันแดดที่มีสารป้องกันแสงแดดเพียงพอ ดังนี้ กันรังสียูวีบี (ซึ่งทะลุเข้าไปในดวงตา) ได้ 95-100 เปอร์เซ็นต์ กันรังสียูวีเอ (ซึ่งทำลายผิวบริเวณรอบดวงตา) ได้ 60 เปอร์เซ็นต์      ดูฉลากให้ถี่ถ้วนก่อนจะตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้เราไม่ควรซื้อแว่นกันแดดที่ขายตามแผงลอยต่างๆ เพราะมักไม่มีฉลากระบุไว้ แว่นกันแดดราคาถูกตามแผงลอยถึงแม้จะมีเลนส์สีเข้ม แต่ถ้าไม่มีสารป้องกันแสงแดดเมื่อนำมาใส่ รูม่านตาจะขยายใหญ่ขึ้นโดยธรรมชาติเพื่อปรับสมดุลย์ของแสงซึ่งช่วยในการมองเห็นของดวงตา ทำให้รังสียูวีเอและรังสียูวีบี ทะลุเข้ามาในดวงตาของเรามากยิ่งขึ้น ดังนั้นเวลาเลือกซื้อแว่นกันแดดจึงไม่ควรคำนึงถึงเรื่องแบบสวยและราคาถูกเท่านั้น   เราควรเลือกซื้อแว่นกันแดดกันอย่างไร เลนส์ เลนส์นั้นมีหลายชนิด แต่ควรเลือกเลนส์ที่มีส่วนผสมของสารเมลานิน เพราะเมลานินจะช่วยดูดซับแสงที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ช่วยให้ใส่แล้วมองเห็นสบายตา นอกจากนี้แว่นกันแดดที่ดีจะต้องดูดซับรังสียูวีได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ใส่แล้วไม่หลอกตาด้วย สีของเลนส์ เลนส์ที่นิยมมากที่สุดคือเลนส์โทนสีเขียว-เทา เนื่องจากช่วยกรองแสงได้ดีและใส่แล้วหลอกตาน้อยที่สุด เลนส์สีนี้เหมาะกับวันที่ต้องเผชิญกับแสงแดดรุนแรง ส่วนเลนส์สีน้ำตาล-เหลือง อาจทำให้เรามองเห็นสีเพี้ยนไปบ้าง แต่ก็เหมาะจะใส่ขณะขับรถตอนเย็นๆ หรือใส่ในวันที่มีเมฆหมอกมาก รูปทรงและกรอบแว่น การเลือกแว่นก็ควรเลือกให้เหมาะสมกับรูปหน้าของเรา ที่สำคัญจะต้องมีขนาดพอดีกับใบหน้า สวมแล้วไม่คับเกินไปจนทำให้เจ็บขมับ และไม่หลวมเกินไปจนใส่แล้วแว่นตกลงมาอยู่ที่ปลายจมูก   อายุการใช้งานแค่ไหน ควรเปลี่ยนแว่นกันแดดทุกๆ 2 ปี หากคุณมีโหนกแก้มใหญ่ ไม่ควรใส่แว่นใหญ่ปิดโหนกแก้ม ถ้าหากไม่รู้ว่าจะเลือกใส่แว่นทรงไหนจริงๆ ก็ให้เลือกแว่นทรงวงรี เพราะแว่นทรงนี้เหมาะกับรูปหน้าเกือบทุกแบบ ทรงแว่นตาที่เหมาะสมกับเรามากที่สุดคือ ทรงที่มีลักษณะตรงข้ามกับหน้าของเรา แว่นที่มีเลนส์สีน้ำตาลเหมาะกับคนสายตาสั้น ส่วนแว่นที่มีเลนส์สีเขียวเหมาะกับคนสายตายาว
ศูนย์เลสิก LASER VISION

ควรดูแลดวงตาอย่างไร เมื่อต้องนั่งหน้าจอคอมฯ นานๆ

ควรดูแลดวงตาอย่างไร เมื่อต้องนั่งหน้าจอคอมฯ นานๆ สำหรับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์อยู่เป็นประจำ ควรจะดูแลดวงตาเบื้องต้น ดังนี้ เบื้องต้นเลยคือท่านั่ง ควรจัดท่านั่งตัวเองให้ถูกต้องสำหรับการใช้งาน ให้ศรีษะอยู่สูงกว่าจอคอมพิวเตอร์สักเล็กน้อย จะได้ไม่ต้องเงยหน้ามองคอมพิวเตอร์ ปรับการวางจอคอมพิวเตอร์ไม่ให้แสงจากด้านหลัง สว่างจนเกินไป เพราะจะทำให้ต้องใช้การเพ่งมองที่มากขึ้น หากจอคอมพิวเตอร์วางอยู่ใกล้หน้าต่าง ควรจัดหามู่ลี่กันแสง และปรับให้แสงเหมาะสมขณะใช้งาน ขณะที่จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุก 10-15 นาที ควรกระพริบตา เพื่อลดอาการตาแห้ง แสบตา หรือเคืองตา หากมีอาการตาแห้งมากเกินไปสามารถใช้น้ำตาเทียมหยอดเพื่อช่วยให้ดีขึ้นได้ เมื่อใช้งานไปสัก 40-60 นาที ควรพักสายตา โดยการมองทอดสายตามองไปไกลๆ เพื่อช่วยคลายความเมี่อยล้าของดวงตา (มองไปที่สีเขียวของต้นไม้ใบหญ้าก็ได้คะ) หากสังเกตุว่าตัวเราเริ่มมองไม่ชัด ต้องเพ่งมากกว่าปกติ หรือปวดตาบ่อยๆ อาการดังกล่าวอาจเป็นที่มาของปัญหาสายตา ทั้งสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ควรเข้ารับการตรวจจากจักษุแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุของการผิดปกติดังกล่าว
ศูนย์เลสิก LASER VISION

อาหารบำรุงสุขภาพตาในวัยเด็ก

อาหารบำรุงสุขภาพตาในวัยเด็ก อาหารบำรุงสุขภาพตาในวัยเด็ก      เด็กในวัยเจริญเติบโตช่วง 3-10 ขวบ ผู้ปกครองควรดูแลให้เด็กได้รับสารอาหารที่หลากหลาย เพื่อที่สายตาของเด็กจะได้ไม่เสื่อมสภาพ ควรเลือกรับประทานปลาที่มีหลังสีฟ้า เช่น ปลาซันมิ หรือปลาแมกเคอเรล (Mackerel) หรืออาจะเป็นปลาที่รับประทานได้ทั้งก้างเช่น ปลาแอนโชวี (Anchovy) หรือปลาทะเลเนื้อขาว เช่น ปลาพอลล็อกแช่แข็ง (Frozen Pollock) ปลาจวด (Croaker) ในแต่ละมื้ออาหารควรรับประทานปลาประเภทใดประเภทหนึ่งสลับกันไป รับประทานสาหร่ายทะเลมากกว่าสัปดาห์ละ 4 ครั้ง ผักใบเขียววันละ 100 กรัม ส่วนผลไม้ ควรรับประทานอย่างน้อยวันละหนึ่งชนิด ดื่มนมวันละหนึ่งแก้วขึ้นไป หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงอาหารจานด่วนหรือฟาสต์ฟู้ด และขนมขบเคี้ยว ที่มีส่วนประกอบของเกลือและน้ำตาล ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพตา       อาหารที่อุดมด้วยวิตามินเอ ไข่แดง เนย เนยแข็ง ชีส แครอท ผักโขม     อาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม นม ผลิตภัณฑ์จากนมและเนย ปลาที่รับประทานได้ทั้งก้าง สาหร่ายทะเล ปาปริก้า โสม มะเขือเทศ ผักโขม     อาหารที่อุดมด้วยโปรตีนซึ่งเป็นส่วนประกอบของดวงตา ไข่ ถั่ว ปลาที่มีหลังสีฟ้า เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ     อาหารที่อุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยปรับโครงสร้างการทำงานของดวงตา กะหล่ำปลี ผักกาดหอมห่อ ผลไม้ หัวไช้เท้า     อาหารที่อุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา ต้นอ่อนของพืช มันฝรั่ง ผลิตภัณฑ์จำพวกไขมันและน้ำมัน
ศูนย์เลสิก LASER VISION

เรื่องของน้ำตา

เรื่องของน้ำตา น้ำตาธรรมชาติ ผลิตจากต่อมน้ำตาของคนเรา มีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง คือ ให้ความชุ่มชื้นแก่กระจกตาและเยื่อบุตา ปรับสภาพของกระจกตาให้มีความเรียบ เพื่อให้แสงผ่านได้สะดวก การมองเห็นชัดเจน ให้สารอาหารและออกซิเจน รวมทั้งขจัดของเสียออกจากกระจกตา มีสารอย่างอ่อนป้องกันการติดเชื้อของกระจกตา      น้ำตาธรรมชาติมีความสำคัญมาก เมื่อตาของคนเราเกิดจุดแห้งขึ้นจากการที่น้ำตาธรรมชาติบนกระจกตาหรือเยื่อบุตาระเหยไป ระบบอัตโนมัติในร่างกายเราจะสั่งการให้เกิดการกระพริบตา การกระพริบตาเป็นการกระจายน้ำตาธรรมชาติให้กระจายไปทั่วกระจกตาและเยื่อบุตา เราจึงรู้สึกสบายตา      เมื่อร่างกายผลิตน้ำตาธรรมชาติที่ใช้ในการหล่อลื่นกระจกตาและเยื่อบุตาไม่เพียงพอ  จะทำให้เกิดอาการตาแห้ง  ตาแดง  ระคายเคืองตา  แสบตา ตาพร่า  ตาสู้แสงไม่ได้  หากท่านมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาจักษุแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุ   น้ำตาเทียม      น้ำตาเทียม เป็นสารที่ผลิตขึ้นเพื่อทดแทนน้ำตาธรรมชาติในผู้ที่ผลิตน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ หรือมีภาวะตาแห้ง  ใช้หล่อลื่นและให้ความชุ่มชื่นแก่กระจกตา  ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเคืองตา หรืออาการรู้สึกไม่สบายตา เนื่องจากตาโดนลมและแสง   น้ำตาเทียมสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดด้วยกัน คือ น้ำตาเทียมชนิดที่มีสารกันเสีย สารกันเสีย ช่วยให้น้ำตาเทียมคงสภาพอยู่ได้นาน และป้องกันการเติบโตของเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนเข้าไปขณะหยอด หลังจากเปิดขวดใช้งานแล้ว สามารถเก็บได้นาน 1 เดือน และสามารถใช้ได้ไม่เกินวันละ 5 ครั้ง น้ำตาเทียมชนิดไม่มีสารกันเสีย มีลักษณะเป็นหลอดขนาดเล็กๆใช้หยอดในแต่ละวันแล้วทิ้งไปเลย มักให้ความรู้สึกสบายตากว่า เนื่องจากไม่มีสารกันเชื้อแบคทีเรียผสมอยู่จึงต้องใช้ภายใน 24 ชั่วโมง สามารถใช้ได้บ่อยทุก 2 ชั่วโมง ข้อดีคือผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพ้เลย แต่มักมีราคาสูงกว่าน้ำตาเทียมชนิดแรก   โดยทั่วๆไปน้ำตาเทียม มีทั้งรูปแบบสารละลาย เจล และขี้ผึ้ง รูปแบบสารละลาย ให้ความสะดวกในการใช้ รูปแบบเจล หรือขี้ผึ้ง มีคุณสมบัติหล่อลื่นและรักษาความชุ่มชื้นที่ตาได้นานกว่าสารละลาย      เมื่อใช้น้ำตาเทียมไม่ว่าจะเป็นชนิดหยอด เจล  หรือ ขี้ผึ้ง น้ำตาเทียมจะทำหน้าที่เคลือบอยู่บนผิวกระจกตา  และต้องใช้เวลาในการกระจายตัวไปทั่วผิวตา ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตามัวได้ชั่วคราว การที่น้ำตาเทียมทำหน้าที่เคลือบผิวกระจกตาไว้นั้น  ก็เพื่อทำให้เกิดการเก็บรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ดวงตา ซึ่งจะทำให้รู้สึกสบายตามากขึ้น   วิธีใช้น้ำตาเทียม ล้างมือให้สะอาดก่อนหยอดน้ำตาเทียม เขย่าขวดยาถ้ายานั้นระบุว่ให้เขย่าขวดก่อนใช้ เปิดขวดยา อย่าให้นิ้วสัมผัสกับปลายขวดยาเพื่อหลึกเลี่ยงการปนเปื้อนของน้ำยา นอนหรือนั่ง แหงนหน้ามองขึ้นข้างบน ใช้มือดึงเปลือกตาล่างให้เป็นกระพุ้งหยอดตาแต่ละข้าง ข้างละ 1 – 2 หยด หรือตามที่แพทย์สั่ง ปล่อยมือจากการดึงเปลือกตาล่างและอย่ากระพริบตาสักครู่ (อย่างน้อย 30 วินาที) หรือทำตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เมื่อหยอดตาแล้วอาจมีอาการตาพร่ามัวชั่วขณะ ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเมื่อขับขี่ยานพาหนะ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล   วิธีเก็บรักษาน้ำตาเทียม ให้เก็บยาในที่เย็น ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส ห้ามใช้เมื่อน้ำยาเปลี่ยนสี หรือสีขุ่น   คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับน้ำตาเทียม คำถาม: ในคนปกติทั่วๆไป จำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมหรือไม่? ตอบ น้ำตาเทียมเป็นยาหยอดตาประเภทหนึ่งซึ่งช่วยให้ความชุ่มชื่นกับดวงตา โดยปกติคนเราจะมีการกระพริบตาเฉลี่ยนาทีละ 10 -15 ครั้งเพื่อให้น้ำหล่อเลี่ยงลูกตามาฉาบดวงตา ดังนั้นในคนปกติทั่วๆไปที่รู้สึกเคืองตา หรือระคายเคืองตา อาจเกิดจากภาวะที่เรียกว่า “ตาแห้ง หรือ Dry Eye” การใช้น้ำตาเทียมก็จะช่วยให้รู้สึกสบายตา และลดอาการดังกล่าวได้   คำถาม: ใครบ้างที่ควรใช้น้ำตาเทียม? ตอบ สำหรับผู้ที่ควรใช้น้ำตาเทียมนอกจากผู้ที่ใช้ตามคำสั่งแพทย์แล้ว ยังมีผู้สูงอายุ ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน และกลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวกับจอคอมพิวเตอร์ สำหรับผู้สูงอายุจะมีปัญหาเรื่องน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาแห้ง เนื่องจากปัญหาการทำงานของต่อมน้ำตาลดลงตามอายุ ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนจะทำให้น้ำหล่อเลี้ยงลูกตาลดลงกว่าคนปกติทั่วๆไป   กลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กลุ่มนี้อาจเกิดจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ทำให้มีการกระพริบตาน้อยกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะตาแห้งได้ ในผู้ทีต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ควรพักสายตาทุกครึ่งชั่วโมง หรือเมื่อรู้สึกแสบตา เคืองตา ควรหลับตาพักสัก 3 -5 วินาที เพื่อบรรเทาอาการดังกล่าว   คำถาม: น้ำตาเทียมใช้ได้บ่อยครั้งแค่ไหน? ตอบ สำหรับผู้ใช้งานโดยทั่วไป ที่หยอดน้ำตาเทียมเพื่อให้ดวงตาชุ่มชื้น และรู้สึกสบายตา สามารถใช้งานได้โดยเฉลี่ยไม่เกิน 4-5 ครั้งต่อวัน แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะตาแห้ง หรือช่วยในการรักษาตาผิดปกติอื่นๆ สามารถใช้ได้บ่อยตามคำสั่งแพทย์        สำหรับผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยวิธีเลสิค หรือ เลสิก (LASIK) แพทย์จะสั่งให้หยอดน้ำตาเทียม เพื่อช่วยรักษาอาการตาแห้งในระยะแรกซึ่งอาการดังกล่าวจะค่อยๆ ดีขึ้น ในช่วงระยะเวลา 3 – 6 เดือน    

ที่อยู่

ช่องทางติดต่อ

calling
ติดต่อเรา :