มุมสุขภาพตา : #สายตา

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม

คอนเเทคเลนส์คืออะไร? วิธีดูแลทำความสะอาด พร้อมข้อควรรู้เบื้องต้น

คอนเเทคเลนส์คือเลนส์ใสที่สวมบนดวงตาเพื่อแก้ไขปัญหาสายตาหรือเปลี่ยนลุคให้ดูดีขึ้น คอนเเทคเลนส์มีหลายประเภท เช่น เลนส์นิ่ม เลนส์แข็ง (RGP) เลนส์รายวัน เลนส์รายเดือน เลนส์แก้สายตาเอียง และเลนส์แฟชันสีต่างๆ วิธีดูแลคอนเเทคเลนส์ที่ถูกต้อง คือล้างมือให้สะอาดก่อนจับ ใช้น้ำยาล้างถูเลนส์ทุกครั้งหลังถอด หลีกเลี่ยงน้ำเปล่าหรือน้ำลาย เก็บเลนส์ในกล่องพร้อมน้ำยาใหม่ทุกวัน และทำความสะอาดกล่องพร้อมเปลี่ยนทุก 3 เดือน เพื่อป้องกันเชื้อโรคและติดเชื้อที่ตา ข้อควรรู้ในการใช้คอนเเทคเลนส์ คือใส่ตามคำแนะนำแพทย์ ไม่ใช้เลนส์ร่วมกับผู้อื่น ล้างมือก่อนจับเลนส์ หลีกเลี่ยงใส่นานเกินไปและไม่ควรนอนหลับขณะใส่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและระคายเคืองตา คอนเเทคเลนส์ (Contact Lens) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการแก้ปัญหาสายตาหรือเปลี่ยนลุคให้ดวงตาดูโดดเด่นมากขึ้น ไม่ว่าจะใส่แทนแว่นสายตาหรือเพื่อความสวยงาม แต่การใช้คอนเเทคเลนส์อย่างไม่ระวัง อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพตาได้ ดังนั้นจึงควรรู้วิธีการใช้งาน การดูแลรักษา และข้อควรระวังเบื้องต้น เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพตาที่ดีในระยะยาว   คอนเเทคเลนส์คืออะไร? คอนเเทคเลนส์เป็นแผ่นพลาสติกบางใสรูปวงกลม ที่สวมใส่บนกระจกตาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาภาวะสายตาผิดปกติ ซึ่งเกิดจากการที่ดวงตาไม่สามารถรวมแสงให้ตกบนจอรับภาพได้อย่างพอดี ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัดเจน โดยคอนเเทคเลนส์สามารถช่วยปรับการมองเห็นให้ดีขึ้นในผู้ที่มีปัญหาสายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด สายตาเอียง และสายตายาวตามอายุ     ประเภทของคอนเเทคเลนส์ คอนเเทคเลนส์มีให้เลือกหลายประเภท ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ลักษณะสายตา และความสะดวกสบายของผู้ใช้ โดยสามารถแบ่งออกได้ตามวัสดุและระยะเวลาการใช้งานดังนี้   คอนเเทคเลนส์แบบแข็ง คอนเเทคเลนส์ชนิดแข็งที่พบได้บ่อยคือแบบกึ่งแข็ง (Rigid Gas-Permeable: RGP) ซึ่งสามารถให้ออกซิเจนซึมผ่านเข้าสู่กระจกตาได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าสายตาเอียงมาก หรือผู้ป่วยโรคกระจกตาโป่ง (Keratoconus) โดยเลนส์ชนิดนี้จะช่วยปรับรูปร่างความโค้งของกระจกตาให้ใกล้เคียงปกติมากขึ้น ส่งผลให้การมองเห็นชัดเจนขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ   คอนเเทคเลนส์แบบนิ่ม คอนเเทคเลนส์ชนิดนิ่มเป็นประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากสวมใส่สบายและหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด แบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้ คอนเเทคเลนส์รายวัน คือเลนส์ที่ใส่เฉพาะระหว่างวันแล้วถอดทิ้ง ไม่ต้องทำความสะอาด ลดความเสี่ยงติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้งาน และเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและสะดวกที่สุด คอนเเทคเลนส์รายสัปดาห์ คือเลนส์ที่ใส่และถอดออกทุกวัน และเปลี่ยนใหม่ทุก 1-2 สัปดาห์ คอนเเทคเลนส์รายเดือน คือเลนส์ที่ใส่และถอดออกทุกวัน และเปลี่ยนเป็นชิ้นใหม่ทุก 1 เดือน คอนเเทคเลนส์แบบใส่ระยะยาว สามารถใส่นอนได้ต่อเนื่องหลายวัน แต่เสี่ยงติดเชื้อสูง แพทย์จึงไม่แนะนำให้ใช้งานเป็นประจำ คอนเเทคเลนส์แก้สายตาเอียง เป็นเลนส์ชนิดนิ่ม ราคาสูง แก้ปัญหาสายตาเอียงได้แต่ประสิทธิภาพอาจสู้เลนส์แข็งไม่ได้ มีทั้งแบบรายวันและใส่ระยะยาว คอนเเทคเลนส์สี ใช้ได้ทั้งแก้ไขสายตาผิดปกติและเสริมความสวยงาม แบ่งตามการใช้งาน เช่น เลนส์แฟชั่น บิ๊กอาย เลนส์กรองแสงยูวี และเลนส์แก้ตาบอดสี ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนใช้งานเพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คอสเมติกคอนเเทคเลนส์ (Cosmetic Contact Lenses) เป็นเลนส์ที่ใส่เพื่อเปลี่ยนสีหรือลักษณะดวงตา เช่น ตาแมวหรือแวมไพร์ แม้ไม่ใช้เพื่อแก้สายตา แต่ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนใช้เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ   คอนเเทคเลนส์แบบอื่นๆ นอกจากคอนเเทคเลนส์ที่ใช้เพื่อแก้ไขค่าสายตาทั่วไปแล้ว ยังมีคอนเเทคเลนส์ประเภทอื่นๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น คอนเเทคเลนส์ไฮบริด เป็นเลนส์ผสมระหว่างนิ่มและแข็ง ช่วยแก้ไขสายตาสั้น ยาว เอียง และปัญหากระจกตาได้ดี เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและผู้ที่มีกระจกตาผิดปกติ คอนเเทคเลนส์ชนิดแก้สายตายาวตามอายุ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ใช้ช่วยให้มองเห็นทั้งใกล้และไกลได้ชัด เช่น แบบ Bifocal, Multifocal หรือแบบ Monovision ที่ใส่คนละค่าสายตาในแต่ละข้าง คอนเเทคเลนส์หลายระดับ (Multifocal Contact Lenses) คือเลนส์ที่มีทั้งแบบแข็งและนิ่ม ภายในเลนส์มีค่าสายตาหลายระดับช่วยให้ใช้งานได้สะดวก เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตายาวตามวัย (Presbyopia) คอนเเทคเลนส์ครอบแผลชนิดพิเศษ ใช้หลังการผ่าตัดดวงตา เพื่อช่วยปกป้องและส่งเสริมการสมานตัวของผิวกระจกตาให้เร็วขึ้น     ประโยชน์ของคอนเเทคเลนส์ คอนเเทคเลนส์มีประโยชน์หลากหลายด้าน เช่น ช่วยแก้ไขปัญหาสายตา ด้วยการใส่คอนเเทคเลนส์สายตาสั้นและสายตายาว ทำให้ผู้ใส่มองเห็นชัดทั้งระยะใกล้และไกล รวมถึงมีทัศนวิสัยที่ดีกว่าแว่นตา นอกจากนี้ผู้ใส่แว่นมักมีมุมมองด้านข้าง (Peripheral Vision) ที่จำกัด คอนเเทคเลนส์สายตาจึงช่วยเพิ่มการมองเห็นด้านข้างให้ชัดเจนขึ้น คอนเเทคเลนส์ยังเหมาะสำหรับคนที่ไม่สะดวกใส่แว่น และช่วยปรับลุคให้ดูดี มีความมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะคอนเเทคเลนส์แฟชัน เช่น เลนส์สี หรือเลนส์บิ๊กอาย     วิธีใส่คอนเเทคเลนส์อย่างถูกวิธี การใส่คอนเเทคเลนส์อย่างถูกวิธีช่วยเพิ่มความสบายตาและลดความเสี่ยงในการระคายเคืองหรือการติดเชื้อ โดยมีขั้นตอนดังนี้ ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ หลีกเลี่ยงสบู่ที่มีกลิ่นหรือน้ำมันมาก เพราะอาจทำให้ตาระคายเคือง เช็ดมือให้แห้งด้วยผ้าสะอาดที่ไม่เป็นขุยหรือผ้าเช็ดมือ ยืนบนพื้นเรียบและสะอาด เช่น ใกล้อ่างล้างหน้า ปิดฝาท่อระบายน้ำถ้าอยู่เหนืออ่าง เริ่มใส่เลนส์ข้างขวาก่อน (ถ้าถนัดซ้าย ให้เริ่มข้างซ้าย) เพื่อไม่ให้ใส่สลับข้าง หยิบเลนส์จากกล่องเก็บโดยใช้ปลายนิ้ว (หลีกเลี่ยงเล็บ) ล้างเลนส์ด้วยน้ำยาล้างคอนเเทคเลนส์ทุกครั้ง หากเลนส์ตกพื้น ให้ล้างน้ำยาใหม่ก่อนใส่ วางเลนส์ไว้ที่ปลายนิ้วชี้หรือนิ้วกลาง ตรวจสอบว่าเลนส์ไม่ฉีกขาด ตรวจดูว่าเลนส์ไม่กลับด้าน โดยดูขอบเลนส์ ถ้าขอบเลนส์เป็นรูปถ้วยและตั้งตรงคือถูกต้อง ใช้มือที่ไม่ถนัดดึงเปลือกตาบนขึ้น และใช้นิ้วกลางหรืออื่นๆ ดึงเปลือกตาล่างลง มองตรงไปข้างหน้าแล้วค่อยๆ วางเลนส์ลงบนตา ปิดตาเบาๆ แล้วลืมตา กะพริบตาช้าๆ เพื่อให้เลนส์อยู่กลางตา เช็กในกระจกว่าเลนส์อยู่ตรงกลางและรู้สึกสบาย หากไม่สบายหรือตาไม่ชัด ให้ขยับเลนส์หรือนำเลนส์ออกแล้วใส่ใหม่ ทำซ้ำขั้นตอนเดียวกันกับเลนส์อีกข้าง   วิธีถอดคอนเเทคเลนส์อย่างถูกต้อง การถอดคอนเเทคเลนส์อย่างถูกต้องสำคัญต่อสุขภาพดวงตาและช่วยป้องกันการระคายเคืองหรือการติดเชื้อ มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ ล้างมือให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนจับคอนเเทคเลนส์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่ตา รินสารละลายที่ใช้แช่คอนเเทคเลนส์ทิ้งให้หมด จากนั้นผึ่งลมหรือเช็ดกล่องเก็บเลนส์ให้แห้งด้วยผ้าสะอาด ยืนหน้ากระจก ดึงเปลือกตาล่างลงด้วยนิ้วกลางของมือที่ถนัด ถอดเลนส์ออกจากตาข้างที่ต้องการก่อน เพื่อป้องกันความสับสน ใช้นิ้วชี้เลื่อนเลนส์ลงไปที่ขอบตาสีขาวอย่างช้าๆ บีบเลนส์ด้วยนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือเบาๆ เพื่อดึงเลนส์ออกจากตา ทำซ้ำขั้นตอนกับตาอีกข้าง ใช้น้ำยาล้างคอนเเทคเลนส์ที่แนะนำทำความสะอาดเลนส์อย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงน้ำยาที่ทำเองหรือไม่ผ่านการรับรอง ใส่คอนเเทคเลนส์ลงในกล่องเก็บเลนส์ที่แช่ในสารละลาย หรือทิ้งเลนส์หากเป็นแบบใช้ครั้งเดียว     การเก็บรักษาคอนเเทคเลนส์หลังใช้งาน การเก็บรักษาคอนเเทคเลนส์หลังใช้งานอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและยืดอายุการใช้งานของเลนส์ รวมถึงช่วยรักษาความสะอาดและความปลอดภัยให้กับดวงตาของคุณก่อนใช้ในครั้งต่อไป ทำความสะอาดคอนเเทคเลนส์ทุกวันด้วยน้ำยาล้างเลนส์ โดยถูเลนส์เบาๆ ด้วยปลายนิ้วเพื่อขจัดเชื้อและสิ่งสกปรกอย่างทั่วถึง ก่อนเก็บแช่ค้างคืนในตลับ เปลี่ยนน้ำยาแช่เลนส์ใหม่ทุกครั้งหลังใช้ หลีกเลี่ยงการแช่เลนส์ทันทีหลังถอดโดยไม่ทำความสะอาดก่อน ล้างทำความสะอาดตลับใส่เลนส์ทุกสัปดาห์ด้วยน้ำสะอาดและสบู่ แล้วปล่อยให้แห้งก่อนใช้งานครั้งต่อไป ห้ามล้างคอนเเทคเลนส์ด้วยน้ำเปล่า น้ำเกลือ หรือน้ำลายเด็ดขาด เพราะเสี่ยงติดเชื้อและทำให้เลนส์ปนเปื้อนได้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมาตรฐาน เพื่อยืดอายุเลนส์และป้องกันติดเชื้อดวงตา ควรเปลี่ยนตลับคอนเเทคเลนส์ทุก 3 เดือน และล้างตลับก่อนใช้แล้วตากให้แห้งเพื่อฆ่าเชื้อ หลีกเลี่ยงการแบ่งน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ใส่ขวดอื่น เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ห้ามใช้น้ำยาล้างคอนเเทคเลนส์ที่หมดอายุ เก่าเก็บ หรือเปิดทิ้งไว้นานแล้ว   ผู้ที่ไม่ควรใส่คอนเเทคเลนส์ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพดวงตาหรือภาวะบางอย่างควรหลีกเลี่ยงการใส่คอนเเทคเลนส์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรุนแรง ผู้ที่มีอาการตาแห้งหรือกระจกตาผิดปกติ ผู้ป่วยโรคผิวหนังที่มีอาการบริเวณหนังตาหรือเปลือกตา ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ที่มีอาการตาโปน ซึ่งอาจทำให้คอนเเทคเลนส์หลุดง่าย ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี อาจส่งผลต่อการสร้างน้ำตา ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่อาจแพ้วัสดุพลาสติกในคอนเเทคเลนส์หรือน้ำยาล้างเลนส์ ผู้ที่มีปัญหาในการหยิบจับคอนเเทคเลนส์ เช่น มือสั่นจากโรคสมอง หรือมีปัญหาผิวหนังบริเวณนิ้วมือและเล็บ   สิ่งควรรู้ เพื่อให้ใส่คอนเเทคเลนส์อย่างปลอดภัย คอนเเทคเลนส์สัมผัสกับดวงตาที่บอบบาง จึงต้องใส่ให้ถูกวิธี เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อและปัญหาร้ายแรง วิธีใช้ที่ปลอดภัยมีดังนี้ เลือกใช้คอนเเทคเลนส์ที่เหมาะสมกับดวงตา โดยปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจวัดสายตาและลักษณะลูกตาก่อนใช้ ล้างมือให้สะอาดและเช็ดมือให้แห้งก่อนใส่คอนเเทคเลนส์ทุกครั้ง ใส่เลนส์ด้วยปลายนิ้วชี้ และตรวจสอบเลนส์ว่าด้านถูกต้อง (ขอบเลนส์เป็นรูปตัว U ไม่แหลม) หลีกเลี่ยงการใช้เลนส์ร่วมกับผู้อื่น เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ ห้ามสลับใส่เลนส์ข้างซ้าย-ขวาหรือใส่ขณะว่ายน้ำ ไม่ควรนอนหลับขณะใส่เลนส์ เพราะจะลดการรับออกซิเจนของดวงตา หลีกเลี่ยงให้ปลายขวดน้ำยาล้างเลนส์สัมผัสกับสิ่งอื่น เพื่อป้องกันการปนเปื้อน สวมแว่นกันแดดเมื่อต้องใส่คอนเเทคเลนส์ เพื่อลดอาการแสบตาจากแสง ใช้น้ำตาเทียมหยอดตาเพื่อช่วยให้ดวงตาชุ่มชื้น ป้องกันอาการตาแห้ง     อันตรายจากการใช้คอนเเทคเลนส์ผิดวิธี คอนเเทคเลนส์เป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์และปลอดภัยเมื่อใช้อย่างถูกวิธี แต่หากใช้งานไม่ถูกต้อง ไม่ได้มาตรฐาน หรือขาดความสะอาด อาจทำให้เกิดปัญหารุนแรงต่อสุขภาพดวงตาได้ เช่น   ปัญหาที่มาจากคอนเเทคเลนส์ การเลือกคอนเเทคเลนส์ที่มีขนาดไม่พอดีกับตาดำ อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตาและการมองเห็นได้ โดยเลนส์ที่เล็กเกินไปอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตาและเกิดปัญหากระจกตา ส่วนเลนส์ที่ใหญ่เกินไปอาจเคลื่อนหลุดง่าย ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน นอกจากนี้การดูแลและเก็บรักษาคอนเเทคเลนส์ไม่ถูกต้อง ยังเสี่ยงให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ทำให้เกิดอันตรายต่อกระจกตาและเสียสมรรถภาพการใช้งานได้ด้วยเช่นกัน   ปัญหาต่อเยื่อบุตาและกระจกตา ปัญหาเยื่อบุตาและกระจกตาอาจเกิดจากคอนเเทคเลนส์ไม่สะอาด ใช้ของไม่ได้มาตรฐาน หรือแพ้วัสดุที่ใช้ผลิต โดยอันตรายที่พบได้บ่อยมีดังนี้ ตาแห้ง (Dry eyes) อาจเกิดจากการใส่คอนเเทคเลนส์นาน หรือมีน้ำตาน้อย ทำให้ระคายเคือง แสบตา และไวต่อแสง โรคภูมิแพ้ (Allergies) อาจเกิดจากการแพ้คอนเเทคเลนส์หรือสารที่ใช้ร่วม ทำให้ตาแดง แสบ และคันตา เยื่อบุตาอักเสบจากคอนเเทคเลนส์ (Giant Papillary Conjunctivitis) ใส่คอนเเทคเลนส์แล้วตาแดงมักเกิดจากการแพ้เลนส์หรือสารดูแลเลนส์ นอกจากนี้อาจมีอาการระคายเคือง และตุ่มด้านในเปลือกตา เยื่อบุตาอักเสบจากสารเคมี (Toxic Conjunctivitis) เกิดจากการแพ้สารในผลิตภัณฑ์คอนเเทคเลนส์ ทำให้ตาอักเสบหรือกระจกตาถลอกได้ แผลอักเสบที่กระจกตา (Superficial Punctate Keratitis) อาจเกิดจากตาแห้งขณะใส่คอนเเทคเลนส์ ทำให้เกิดแผลเล็กๆ บริเวณกระจกตา ส่งผลให้รู้สึกเจ็บหรือคอนแท็กต​์เลนส์ฉีกขาดได้ อาการเลนส์คับแน่น (Tight Lenses Syndrome) เกิดจากการใส่คอนเเทคเลนส์นานเกินไป ทำให้เลนส์ติดแน่นกับกระจกตา กระจกตาบวมน้ำ มองเห็นไม่ชัด เปลือกตาอักเสบ หรือมีเส้นเลือดเล็กๆ ขึ้นที่ตา กระจกตาขาดออกซิเจน (Corneal hypoxia) มักเกิดจากการใส่คอนเเทคเลนส์นานเกินไป อาจทำให้กระจกตาเป็นแผล เลือดออก และเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็น กระจกตาอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Microbial Keratitis) มักเกิดในผู้ที่ใส่คอนเเทคเลนส์นิ่มหรือใส่ขณะนอนหลับ ทำให้ตาแดง เจ็บตา แฉะ แพ้แสง และระคายเคืองจากการติดเชื้อในเลนส์   สรุป คอนเเทคเลนส์เป็นตัวช่วยแก้ไขปัญหาสายตาที่สะดวกและได้รับความนิยมสูง เช่น คอนเเทคเลนส์รายวัน รายเดือน และคอนเเทคเลนส์สีเพื่อแฟชัน แต่การใช้งานที่ไม่ถูกวิธีหรือขาดการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดปัญหาตา เช่น ตาแห้ง ติดเชื้อ หรือเยื่อบุตาอักเสบได้ ควรล้างมือก่อนใส่และถอดเลนส์ทุกครั้ง ทำความสะอาดและเปลี่ยนน้ำยาในกล่องเก็บเลนส์อย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ หากมีอาการผิดปกติหรือปัญหาจากการใส่คอนเเทคเลนส์ สามารถมารักษาและปรึกษาจักษุแพทย์ได้ที่ Bangkok Eye Hospital เพื่อดูแลดวงตาให้ปลอดภัยและสุขภาพดีอย่างยั่งยืน   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคอนเเทคเลนส์ (FAQ) รวมคำตอบสำหรับคำถามทั่วไปเกี่ยวกับการใช้งาน การดูแลรักษา และข้อควรรู้ที่สำคัญ เพื่อช่วยให้คุณใช้คอนเเทคเลนส์อย่างถูกวิธีและปลอดภัย ก่อนตัดสินใจใช้งานจริง   ใส่คอนเเทคเลนส์เกิน 8 ชม. อันตรายไหม ใน 1 วัน ใส่คอนเเทคเลนส์เกิน 8 ชม. ได้ไหม? คอนเเทคเลนส์ใส่ได้กี่ชั่วโมง? คำตอบคือควรใส่ไม่เกิน 8-9 ชั่วโมง เพราะใส่นานเกินไปอาจทำให้ตาแห้ง ระคายเคือง หรืออักเสบ หากจำเป็นต้องใส่นาน ให้ใช้หยดน้ำตาเทียมเติมความชุ่มชื้นระหว่างวัน   การใส่คอนเเทคเลนส์นาน ทำให้กระจกตาบางจริงไหม กระจกตาแต่ละคนมีความหนาแตกต่างกันตามธรรมชาติ การใส่คอนเเทคเลนส์อาจทำให้ตาแห้งได้ แต่ไม่ได้ส่งผลต่อความหนาของกระจกตาโดยตรง การหยุดใส่คอนเเทคเลนส์ช่วยให้อาการตาแห้งดีขึ้น แต่กระจกตาจะไม่กลับมาหนาขึ้น   เผลอใส่คอนเเทคเลนส์นอน เป็นอะไรไหม ดวงตาต้องการออกซิเจนตลอดเวลา แต่เมื่อใส่คอนเเทคเลนส์ ไม่ว่าจะรายวันหรือรายเดือน ดวงตาจะได้รับออกซิเจนน้อยกว่าปกติ หากนอนหลับขณะใส่เลนส์จะทำให้ออกซิเจนลดลงมาก เพราะเปลือกตาปิดกระจกตาไม่สามารถรับอากาศได้ ส่งผลให้ตาแดง ระคายเคือง และเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อได้ง่ายขึ้น   ผู้เขียนบทความ : รศ.นพ.อนันต์ วงศ์ทองศรี จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตาและการผ่าตัดแก้ไขสายตา (LASIK) ต้อกระจก รักษาโรคตาทั่วไป
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

เลสิกสำหรับนักแบดมินตัน เพิ่มความคมชัดเพื่อชัยชนะทุกคอร์ต | Bangkok Eye Hospital

เลสิกสำหรับนักแบดมินตัน: พลิกเกมด้วยสายตาที่คมชัดกว่า 🏸 “พริบตาเดียวบนคอร์ต อาจเปลี่ยนชัยชนะเป็นความพลาด” การเล่นแบดมินตันไม่ได้อาศัยเพียงแค่พละกำลังหรือความเร็ว แต่หัวใจสำคัญคือ การมองเห็นที่แม่นยำและรวดเร็ว เพื่อการ "อ่านเกม อ่านลูก และอ่านทางคู่แข่ง" ได้เหนือกว่าใคร! อุปสรรคทางสายตาที่นักกีฬาต้องเจอ เคยไหมที่ต้องมัวดันแว่นระหว่างการแข่งขัน? หรือกังวลว่าคอนแทคเลนส์จะหลุดกลางเกม? ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้คุณเสียสมาธิและพลาดจังหวะสำคัญในเสี้ยววินาที... ซึ่งอาจหมายถึงการเสียคะแนนหรือพลาดชัยชนะไปอย่างน่าเสียดาย LASIK: คำตอบสำหรับนักกีฬายุคใหม่ การทำเลสิก (LASIK) คือทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับนักกีฬาแบดมินตันและผู้ที่รักการออกกำลังกายทุกคน ช่วยปลดล็อกศักยภาพของคุณให้เหนือกว่าเดิม สายตาคมชัด: โฟกัสการเคลื่อนไหวของลูกขนไก่ได้ดีขึ้น คล่องตัวทุกการเคลื่อนไหว: ไม่ต้องกังวลเรื่องแว่นหรือคอนแทคเลนส์ มั่นใจในทุกช็อต: ทั้งลูกตบ ลูกหยอด หรือลูกตัด เมื่อไร้กังวลเรื่องสายตา คุณจะสามารถโฟกัสที่เกมการแข่งขันได้อย่างเต็มที่ เพราะการมองเห็นที่ดี ไม่ได้แค่ทำให้เล่นดีขึ้น แต่ทำให้คุณ “มั่นใจในทุกการเคลื่อนไหว” ปรึกษาการทำเลสิกสำหรับนักกีฬา ดวงตามีคู่เดียว มั่นใจให้แพทย์เฉพาะทางดูแล ที่ Laser Vision at Bangkok Eye Hospital เลียบทางด่วนรามอินทรา โทรเลย: 02-511-2111 #LASERVISION #SMILEPro #LASIK #BangkokEyeHospital #เลสิกไร้ใบมีด #LASIKForSport #Badminton #กีฬาแบดมินตัน
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

ภาพเบลอในสนาม อาจทำให้คุณพลาดโอกาสสำคัญ

"ภาพเบลอในสนาม อาจทำให้คุณพลาดโอกาสสำคัญ" ⚽👀 เพราะในทุกวินาทีของการแข่งขัน… “สายตา” คืออาวุธลับที่คุณอาจมองข้าม จะเล็ง จะส่ง จะยิง ทุกจังหวะต้องแม่นยำ แต่ถ้ามองไม่ชัดตั้งแต่แรก คุณอาจพลาดสิ่งสำคัญที่อยู่ตรงหน้า โอกาสสำคัญที่คุณอาจพลาดไป ไม่ว่าจะเป็น: ✅ โอกาสในการยิงประตู ✅ การอ่านเกมในเสี้ยววินาที ✅ การเคลื่อนไหวที่มั่นใจและคล่องตัว การทำเลสิกช่วยให้คุณกลับมามองเห็นชัด ลดการพึ่งพาแว่นหรือคอนแทคเลนส์ พร้อมเปลี่ยนทุกเกมให้คุณ "คุมสนามได้อยู่หมัด" พร้อมลงสนามด้วยสายตาที่เหนือกว่า 📍 Laser Vision at Bangkok Eye Hospital ปรึกษาการทำเลสิกสอบถามได้ที่ 02-511-2111 #LASERVISION #SMILEPro #LASIK #smarteyehospital #BangkokEyeHospital #QualityEyeCare #BestVisionBestVersion #NoBlade #เลสิกไร้ใบมีด #LASIKForSport #Sport #Football #กีฬาฟุตบอล
ศูนย์รักษาต้อกระจก
ศูนย์รักษาจอประสาทตา
ศูนย์เลสิก LASER VISION
ศูนย์รักษาต้อหิน
ศูนย์รักษากระจกตา
ศูนย์รักษาตาเด็ก
ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งรอบดวงตา
ศูนย์รักษาจักษุประสาทวิทยา

Laser Vision: ปลดล็อกศักยภาพนักกอล์ฟ ด้วยเลสิก (LASIK) และ SMILE Pro

กอล์ฟ คือ เกมของการโฟกัส 🏌️‍♂️ เล่นกอล์ฟเก่งแค่ไหน ถ้ามองไม่ชัด… ก็พลาดได้ง่าย ๆ การทำเลสิก ไม่ได้แค่ช่วยให้คุณมองชัดขึ้นแต่ช่วย “ยกระดับเกม” ของคุณไปอีกขั้น ไม่ต้องเล็งผ่านเลนส์ ไม่ต้องพะวงแว่นหลุด เห็นธงชัดตั้งแต่ระยะ 200 หลา เล่นได้มั่นใจ โฟกัสได้เต็มที่ในทุกหลุม อย่าปล่อยให้สายตาเป็นอุปสรรคของวงสวิง ยกระดับเกมกอล์ฟของคุณวันนี้ 📍 Laser Vision at Bangkok Eye Hospital เลียบทางด่วนรามอินทรา ดวงตามีคู่เดียว มั่นใจให้แพทย์เฉพาะทางดูแล ปรึกษาการทำเลสิกสอบถามได้ที่ 02-511-2111 #LASERVISION #SMILEPro #LASIK #smarteyehospital #BangkokEyeHospital #QualityEyeCare #BestVisionBestVersion #GolfVision #LASIKForGolfers

รู้จักกับแสงสีฟ้าในชีวิตประจำวัน และวิธีลดผลกระทบต่อสุขภาพดวงตา

แสงสีฟ้าคือคลื่นแสงพลังงานสูงที่มีความยาวคลื่นสั้น อยู่ในช่วง 415-455 นาโนเมตร พบได้ทั้งจากแหล่งธรรมชาติ เช่น แสงอาทิตย์ และจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเลต สมาร์ตโฟน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อดวงตาและการนอนหลับได้ แสงสีฟ้าอาจทำให้ดวงตาล้า ตาแห้ง มองเห็นไม่ชัด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อม และรบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ส่งผลให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท การป้องกันแสงสีฟ้าทำได้โดยปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม ใช้โหมดแสงสีโทนอุ่น สวมแว่นกรองแสงสีฟ้า พักสายตาด้วยกฎ 20-20-20 ใช้น้ำตาเทียมบรรเทาตาแห้ง และหลีกเลี่ยงการใช้หน้าจอก่อนนอน Bangkok Eye Hospital มีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการตาล้า ตาแห้ง และปัญหาสายตาจากแสงสีฟ้า ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและจักษุแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมในอนาคต   ยุคที่เทคโนโลยีและการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น แสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากหน้าจอเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่เราสัมผัสอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าแสงสีฟ้าจะมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ก็มีผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาและการนอนหลับหากได้รับในปริมาณมากเกินไป มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับแสงสีฟ้าและวิธีการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาและการใช้ชีวิตประจำวันกัน     แสงสีฟ้าคืออะไร? ทำไมถึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตา แสงสีฟ้า (Blue Light) คือคลื่นแสงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งมีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 415-455 nm แสงสีฟ้ามีพลังงานสูงและคล้ายคลึงกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จึงสามารถทะลุผ่านอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะดวงตาและอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตา     แหล่งที่มาของแสงสีฟ้าในชีวิตประจำวัน ในชีวิตประจำวัน การหลีกเลี่ยงแสงสีฟ้าอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากแสงสีฟ้ามีทั้งที่มาจากแหล่งธรรมชาติและสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ ซึ่งแต่ละแหล่งจะมีระดับความเข้มข้นของแสงสีฟ้าที่แตกต่างกันไป ดังนี้ แสงสีฟ้าจากธรรมชาติ นอกจากแสงสีฟ้าที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว แสงสีฟ้ายังสามารถพบได้จากธรรมชาติอีกด้วย เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีพลังงานสูงและความยาวคลื่นสั้น เมื่อแสงเหล่านี้ปะทะกับโมเลกุลของน้ำและอากาศ จะกระจายฟุ้งออกทั่วท้องฟ้าในเวลากลางวัน ทำให้เรามองเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า แสงสีฟ้าจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แสงสีฟ้าที่มาจากหน้าจอของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สมาร์ตโฟน อุปกรณ์ทัชสกรีนต่างๆ หรือแม้กระทั่งหลอดไฟฟ้า ความเข้มข้นของแสงสีฟ้าในแต่ละอุปกรณ์อาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะและประเภทของอุปกรณ์นั้นๆ     ผลกระทบของแสงสีฟ้าต่อสุขภาพดวงตาและการนอนหลับ อันตรายจากแสงสีฟ้าคือการที่คลื่นพลังงานสูงสามารถทำลายเซลล์ในเลนส์ตา โดยเฉพาะจอตา (Retina) ส่งผลให้การส่งภาพไปยังประสาทตาไม่แม่นยำ ทำให้มองเห็นภาพเบลอ ตามัว หรือปรับแสงไม่ทัน ซึ่งอาจทำให้ดวงตาต้องใช้เวลาปรับตัวกับสภาพแสงใหม่ ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพดวงตาและการนอนหลับได้ดังนี้ อาการตาล้าและตาแห้ง อาการตาล้า (Asthenopia)และตาแห้ง (Dry Eyes)มักเกิดจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีรังสี UV และคลื่นแสงสีฟ้าที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการคันตาและตาแดง หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะผิวกระจกตาอักเสบพร้อมรอยแผลบนกระจกตา และทำให้พื้นผิวกระจกตามีความขรุขระ ส่งผลให้เกิดความระคายเคืองและความรำคาญขณะใช้สายตาในชีวิตประจำวัน จอประสาทตาเสื่อม โรคจอประสาทตาเสื่อม (Macular Degeneration)เกิดจากภาวะจอตาบวมและจุดภาพชัด (Macula) ที่รับคลื่นพลังงานแสงสีฟ้าจากหน้าจอ โดยไม่ใช้แว่นกรองแสงสีฟ้าหรืออุปกรณ์ป้องกันดวงตา ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพในการส่งสัญญาณการมองเห็นไปยังเส้นประสาทตา ส่งผลให้เกิดอาการตามัวและการมองเห็นที่เสื่อมลง เช่น เห็นภาพสีเพี้ยน มองไม่ชัด หรือเห็นจุดดำตรงกลางภาพ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการแพ้แสงสีฟ้า เช่น ตาแสบ ตาร้อน และตาแห้ง หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่การตาบอดในที่สุด นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท การได้รับคลื่นพลังงานแสงสีฟ้ามากเกินไปสามารถส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ (Insomnia) โดยการรบกวนระบบนาฬิกาชีวิต (Circadian Rhythm) ของร่างกาย แสงสีฟ้าจากหน้าจอจะทำให้ต่อมไพเนียล (Pineal gland) ที่ผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ซึ่งอาจทำให้สุขภาพโดยรวมเสื่อมลงหากไม่ได้รับการดูแล     วิธีป้องกันแสงสีฟ้าจากหน้าจอ การป้องกันแสงสีฟ้าจากหน้าจอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยถนอมดวงตาและหลีกเลี่ยงผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้หน้าจอนานๆ ซึ่งมีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดการสัมผัสกับแสงสีฟ้า ได้แก่ ใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า การเลือกใช้เลนส์กรองแสงสีฟ้าสามารถช่วยลดความเครียดของดวงตาและอาการอักเสบ เช่น ตาแดงได้ โดยควรเลือกเลนส์ที่มีประสิทธิภาพในการกรองแสงสีฟ้าระหว่าง 10-65% การทดสอบคุณภาพสามารถทำได้โดยการวัดผลสเปกตรัม RGB ทดสอบเม็ดสีของเลนส์ หรือการสะท้อนแสงสีฟ้าจากเลนส์เพื่อเช็คประสิทธิภาพการกรองแสง ปรับความสว่างหน้าจอให้พอดี ควรปรับระดับแสงจากหน้าจอให้เป็นโทน Warm light เพื่อให้สอดคล้องกับแสงในห้องที่ใช้งาน หากทำงานในเวลากลางคืน ควรเปิดโคมไฟแสงสีขาวร่วมกับการใช้งานหน้าจอคอมพิวเตอร์ พักสายตาตามหลัก 20-20-20 การถนอมสายตาด้วยกฎ 20-20-20 คือการพักดวงตาที่ได้รับรังสีแสงสีฟ้าจากการใช้งานคอมพิวเตอร์หรือทำกิจกรรมที่ใช้สายตามากเกินไป โดยเริ่มจากการหลับตาหรือมองออกไปยังทิวทัศน์ที่มีระยะห่างอย่างน้อย 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที ทุกๆ 20 นาทีในระหว่างทำกิจกรรม ติดฟิล์มกรองแสงสีฟ้า ฟิล์มกรองแสงบนจอคอมพิวเตอร์ช่วยป้องกันแสงสีฟ้าที่มีคลื่นรังสี UV และพลังงานสูง ซึ่งสามารถลดอาการตาล้า สายตามัว และตาเบลอจากการจ้องจอนานๆ นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของดวงตา และเพิ่มอายุการใช้งานของสายตาให้ยาวนานขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดภาระการปรับตัวโฟกัสของสายตาจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง     หยอดน้ำตาเทียม น้ำตาเทียม (Artificial tears)เป็นสารที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับน้ำตาธรรมชาติ ช่วยหล่อลื่นและเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ดวงตา บรรเทาอาการตาล้า ตาแห้ง และอาการแพ้แสงสีฟ้าจากการใช้จอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยช่วยลดความระคายเคืองในดวงตาและทำให้อาการตาล้าบรรเทาลงได้ รับประทานอาหารบำรุงสายตา สารอาหารบำรุงสายตาที่ช่วยลดอาการตาแห้ง ตาล้า และต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ การรับสารอาหาร Omega-3 fatty acids ที่มักพบใน ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ทูน่า แมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ที่มีสารแอนโธไซยานิน (Anthocyanins) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตในดวงตา รวมไปถึง Lutein และ Zeaxanthin ที่มักพบในผักใบเขียว ช่วยลดอาการตาล้า และดวงตาฟื้นตัวเร็วขึ้นจากการใช้งานหนัก ตรวจสุขภาพดวงตาสม่ำเสมอ ผู้ที่ทำงานโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน เช่น พนักงานออฟฟิศ ฟรีแลนซ์ในสายงานดิจิทัล โปรแกรมเมอร์ และอาชีพอื่นๆ ที่ต้องจดจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไปอาจเกิดภาวะตาล้าสะสมได้ รวมถึงคนที่มีภาวะสายตาสั้นหรืออายุ 40 ปีขึ้นไปที่เริ่มมีอาการสายตายาว ควรนัดตรวจสุขภาพตาประจำปี เพื่อประเมินสภาพการทำงานของดวงตา พร้อมรับคำแนะนำในการถนอมสายตาจากแสงสีฟ้า เช่น การสวมแว่นตาที่มีเลนส์กรองแสงสีฟ้า และการให้ยาบำรุงสายตา   สรุป แสงสีฟ้า (Blue Light) คือแสงที่มาจากแหล่งต่างๆ ทั้งจากธรรมชาติ เช่น แสงแดด และจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ แสงสีฟ้ามีความเข้มข้นสูงและสามารถทะลุผ่านดวงตาไปยังจอตา ทำให้เกิดอาการตาล้า ตาแห้ง และเสี่ยงต่อโรคตาเสื่อมและปัญหาการนอนหลับ วิธีป้องกัน ได้แก่ การใช้เลนส์กรองแสงสีฟ้า การพักสายตา และปรับความสว่างหน้าจอให้เหมาะสม   โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพมีบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการตาล้าและตาแห้งจากแสงสีฟ้า ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อป้องกันและรักษาอาการเหล่านี้ก่อนที่จะลุกลามและกลายเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ที่อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาว   FAQ แสงสีฟ้าที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดวงตาของเราในชีวิตประจำวัน หากคุณมีคำถามเกี่ยวกับแสงสีฟ้า นี่คือคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแสงสีฟ้า เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและรับมือได้ดีขึ้น แสงสีฟ้าอันตรายและทำลายตาจริงไหม? แสงสีฟ้าสามารถทะลุเข้าทำลายเซลล์รับแสงในจอตา ซึ่งอาจส่งผลให้การมองเห็นในส่วนกลางของภาพเสื่อมลงได้ แว่นตัดแสงสีฟ้า จำเป็นไหม แว่นตัดแสงสีฟ้ายังไม่จำเป็นสำหรับบุคคลทั่วไป แต่เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้หน้าจอเป็นเวลานาน หรือผู้ที่มีปัญหาจอตาเสื่อมอยู่แล้ว ทำไมแสงสีฟ้าทำให้นอนไม่หลับ   เมื่อดวงตามองเห็นแสงสีฟ้า มันจะส่งสัญญาณไปยังสมองว่าเป็นเวลากลางวัน ซึ่งจะไปกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมนาฬิกาชีวิตของเรา โดยเฉพาะการนอนหลับและการตื่นนอน เมื่อมีแสงสีฟ้ามากเกินไปในช่วงเย็น จะทำให้การผลิตเมลาโทนินลดลง จึงทำให้เรานอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท

เข้าใจค่าสายตาแบบต่างๆ และผลกระทบต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวัน

การเข้าใจค่าสายตาต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพตา เนื่องจากแต่ละประเภทของค่าสายตาจะส่งผลต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวัน การเลือกแว่นตาหรือการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นได้มากขึ้น ดังนั้นการรู้จักค่าสายตาจึงเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสุขภาพตาอย่างถูกต้อง   ค่าสายตาคือการวัดความสามารถในการมองเห็น โดยใช้หน่วยเป็นไดออปเตอร์ (D) แสดงค่าความผิดปกติของสายตา เช่น สายตาสั้น (–) หรือสายตายาว (+) ค่าเหล่านี้จะช่วยกำหนดว่าต้องใช้แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์เพื่อปรับการมองเห็นให้ชัดเจนขึ้น การวัดค่าสายตาทำโดยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เครื่องวัดค่าสายตา (Refractometer) ซึ่งจะให้ผู้ตรวจสวมแว่นที่มีเลนส์ต่างๆ เพื่อทดสอบการมองเห็น โดยจะแสดงผลค่าสายตาในรูปแบบ SPH, CYL, AXIS และ ADD ขึ้นอยู่กับลักษณะของการมองเห็น การทำเลสิกที่ Bangkok Eye Hospital มีข้อดีคือใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในกระบวนการรักษา รวมถึงการให้คำปรึกษาจากแพทย์ผู้ชำนาญการ สามารถแก้ไขค่าสายตาสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย     ทำความรู้จักกับค่าสายตา ค่าสายตาคือค่าที่บ่งชี้ถึงความสามารถในการมองเห็น ซึ่งวัดจากกำลังของกระจกตาและเลนส์ตารวมกัน โดยใช้หน่วยวัดเป็นไดออปเตอร์ (Diopter หรือ D.) ค่าสายตาที่เราคุ้นเคยเช่น สายตาสั้น 50, 75, 150 หรือ 200 แต่การเรียกค่าสายตาแบบนี้ไม่เป็นมาตรฐานสากล เนื่องจากจริงๆ แล้วจะใช้เลขทศนิยมสองตำแหน่งในหน่วยไดออปเตอร์ในการวัดค่าสายตา วิธีอ่านค่าสายตาเบื้องต้น วิธีอ่านค่าสายตาเบื้องต้นสามารถทำได้โดยการดูตัวเลขที่ระบุในใบสั่งแว่นตา เช่น RE -2.00 -0.50x180 โดยค่าสายตาจะมีลักษณะดังนี้ RE (Right Eye) หรือ OD (Oculus Dexter) หมายถึงค่าสายตาของตาด้านขวา ส่วน LE (Left Eye) หรือ OS (Oculus Sinister) หมายถึงค่าสายตาของตาด้านซ้าย ดังนั้นในตัวอย่างนี้ ค่าสายตาที่ระบุคือสำหรับตาด้านขวา ค่าสายตาสั้นหรือยาวจะขึ้นอยู่กับเครื่องหมายหน้าตัวเลข หากเป็นเครื่องหมายลบ (-) แสดงว่าเป็นค่าสายตาสั้น เช่น “-2.00” คือสายตาสั้น 2.00 ไดออปเตอร์ หรือสายตาสั้น 200 หากเป็นเครื่องหมายบวก (+) แสดงว่าเป็นค่าสายตายาว ค่าสายตาเอียงจะมีค่าที่บอกทั้งระดับความเอียงในหน่วยไดออปเตอร์ และมุมการเอียงในองศา เช่น จากตัวอย่าง “-0.50x180” หมายถึง สายตาเอียง -0.50 ไดออปเตอร์ ที่มุม 180 องศา     ส่วนประกอบของค่าสายตามีอะไรบ้าง ข้อมูลสำคัญที่อยู่ในใบค่าสายตาจะช่วยในการกำหนดแว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์ให้เหมาะสมกับผู้ใช้ ซึ่งประกอบด้วยหลายส่วน ได้แก่ ตัว R และ Lในใบค่าสายตา "R" หมายถึง ตาข้างขวา และ "L" หมายถึง ตาข้างซ้าย บางแห่งอาจใช้คำย่อว่า OD และ OS ซึ่งมีความหมายเดียวกัน โดยที่ OD หมายถึง ตาข้างขวา และ OS หมายถึง ตาข้างซ้าย SPHค่าสายตาจะถูกวัดในหน่วยไดออปเตอร์ โดยมีเครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) ที่กำกับตัวเลข เครื่องหมายบวก (+) หมายถึง สายตายาว และเครื่องหมายลบ (-) หมายถึง สายตาสั้น ตัวอย่างเช่น -2.00 หมายถึง ค่าสายตาสั้น 2 ไดออปเตอร์ หรือสายตาสั้น 200 CYLค่าสายตาเอียง (Cylinder หรือ CYL) สามารถมีทั้งเครื่องหมายบวก (+) และลบ (-) เช่นเดียวกับค่า SPH (Sphere) โดยมีค่าที่บอกมุมองศาของการเอียงในระดับที่แตกต่างกัน AXISค่าสายตาเอียง (Cylinder หรือ CYL) หมายถึง องศาของการเอียงของสายตา ซึ่งจะถูกกำหนดด้วยตัวเลขที่บอกมุมองศาในการเอียงของลูกตา ADDหมายถึง ค่าสายตายาวตามวัย ซึ่งมักพบในผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป     การวัดค่าสายตาทำอย่างไร? การวัดค่าสายตาเริ่มจากการใช้เครื่องวัดสายตาระบบคอมพิวเตอร์ (Auto Refractometer) เพื่อหาค่าพื้นฐาน แต่บางครั้งค่าอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงต้องใช้การวัดแบบถามตอบ (Subjective Refraction) โดยให้ดูภาพและตอบคำถามเพื่อหาค่าสายตาที่แม่นยำขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถวัดค่าสายตาด้วยตัวเองเบื้องต้นได้ผ่านแอปพลิเคชันหรือเครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยตรวจสอบความผิดปกติของสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง     ค่าสายตาสั้นมากแค่ไหนถึงจะจำเป็นต้องใส่แว่นตา ค่าสายตาสั้นมากแค่ไหนถึงจะจำเป็นต้องใส่แว่นตา? คำถามนี้หลายคนสงสัย การใส่แว่นตาจะขึ้นอยู่กับค่าสายตาและความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน โดยจะแบ่งค่าสายตาสั้นได้ ดังนี้ สายตาสั้น 50 สายตาสั้น 50 ไดออปเตอร์ไม่จำเป็นต้องใส่แว่นตาเสมอไป เพราะค่าสายตานี้ใกล้เคียงกับสายตาปกติ ผู้ที่มีสายตาสั้น 50 ไดออปเตอร์สามารถเลือกใส่แว่นตาในบางสถานการณ์ที่ต้องใช้สายตามากๆ เช่น การใช้โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรืออ่านหนังสือ หรืออาจเลือกไม่ใส่แว่นเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชัดเจนในการมองเห็นของแต่ละบุคคล สายตาสั้น 75-100 ค่าสายตาสั้น 75 และ 100 ไดออปเตอร์ถือว่าอยู่ในระดับก้ำกึ่ง บางคนอาจรู้สึกว่าการใช้ชีวิตประจำวันยากขึ้นเมื่อไม่ได้ใส่แว่น แต่บางคนก็ไม่ได้รู้สึกแตกต่างจากสายตาปกติ ดังนั้นการใส่แว่นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน สายตาสั้น 100 ไม่ถือว่าอันตราย แต่หากมีอาการอื่นๆ ร่วม เช่น ปวดศีรษะ ปวดตา หรือค่าสายตาเปลี่ยนเร็ว ควรพบจักษุแพทย์เพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติม สายตาสั้น 150-200 สายตาสั้น 150-200 ไดออปเตอร์ส่วนใหญ่จะเริ่มทำให้มองเห็นไม่ชัด หากส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือการทำงาน ควรใส่แว่นเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ หรือหากต้องเพ่งสายตาเพื่อมองเห็น ควรใส่แว่นเพื่อลดอาการตาล้าปวดหัวจากการใช้สายตามากเกินไป สายตาสั้น 300 ขึ้นไป สายตาสั้น 300 ถือว่าค่อนข้างเยอะและมีผลกระทบต่อการมองเห็นอย่างมาก ผู้ที่มีค่าสายตาสั้น 300 ควรใส่แว่นตลอดเวลา เพื่อป้องกันอาการตาเมื่อย ตาล้า และช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากการมองเห็นไม่ชัด     ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสายตาสั้น หลายคนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับสายตาสั้น ดังนั้นมาปรับความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับสายตาสั้นเพื่อการดูแลสุขภาพตาอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการมองเห็นไม่ชัดและอาการต่างๆ ที่อาจตามมา   ไม่ใส่แว่นตลอดสายตาจะสั้นลง เรื่องนี้ไม่จริงเสมอไป เพราะเกิดเฉพาะในเด็กที่ดวงตายังเติบโตได้ หากไม่ใส่แว่นตลอดเวลาจะทำให้ลูกตายืดออกผิดปกติ (Elongation) ส่งผลให้สายตาสั้นมากขึ้น ในขณะที่ผู้ใหญ่จะไม่เกิดการยืดลูกตาเพียงแค่เพ่งสายตาชั่วขณะ แต่จะทำให้เกิดอาการตาเมื่อย ตาล้า หรือปวดศีรษะแทน และไม่ทำให้สายตาสั้นขึ้นแต่อย่างใด   เด็กไม่ควรใส่แว่นตามค่าสายตา หลายคนเข้าใจผิดว่าเด็กควรหลีกเลี่ยงการใส่แว่นที่ค่าสายตามากๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้สายตาสั้นมากขึ้น แต่ในความจริง หากเด็กไม่ใส่แว่นตามค่าสายตาที่ควรเป็น จะทำให้เด็กต้องเพ่งสายตาบ่อยๆ ซึ่งจะทำให้ลูกตายืดออกและทำให้สายตาสั้นมากขึ้น ดังนั้นการใส่แว่นตาที่เหมาะสมกับค่าสายตาตั้งแต่เริ่มต้นจึงสำคัญเพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้น   สายตาสั้นไม่ได้ทำให้ตาบอด จริงๆ แล้ว สายตาสั้นอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้ หากค่าสายตาสั้นมากและไม่ได้รับการรักษา เช่น การใส่แว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ หรือการทำเลสิก อาจทำให้เห็นภาพไม่ชัดเจน และในกรณีที่สายตาสั้นมาก อาจเสี่ยงต่อโรคที่ทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็น เช่นจอประสาทตาเสื่อมน้ำวุ้นตาเสื่อม หรือจอตาฉีกขาดได้   ค่าสายตายาวและค่าสายตาสั้นหักลบกันได้ สายตาสั้นและสายตายาวไม่สามารถหักลบกันได้ เพราะเป็นความผิดปกติที่เกิดจากส่วนต่างกันในดวงตา สายตาสั้นเกิดจากสรีระดวงตา ส่วนสายตายาวเกิดจากการเสื่อมของกล้ามเนื้อควบคุมเลนส์ตาเมื่ออายุมากขึ้น ค่าสายตาจึงอาจมีทั้งสายตาสั้นและสายตายาวพร้อมกัน เช่น “LE -1.00 +2.00 add” ในการทำแว่นตา เลนส์จะถูกแบ่งเป็นสองส่วน เพื่อให้สามารถแก้ไขทั้งสองค่าสายตาได้   สายตาสั้นน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น บางกรณีสำหรับเด็กที่มีสายตาสั้น เมื่อโตขึ้นอาจพบว่าค่าสายตาสั้นน้อยลง เนื่องจากการเติบโตของลูกตาที่สมดุลขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าสายตาสั้นจะหายไปเมื่ออายุมากขึ้น แม้ว่าจะมีอาการสายตายาวตามวัย สายตาสั้นและสายตายาวเป็นปัญหาคนละส่วนกัน จึงไม่สามารถหักล้างกันได้ สายตาสั้นจะไม่หายไปจากการเกิดสายตายาว     ทางเลือกในการรักษาสายตาสั้นโดยไม่ต้องใส่แว่น นอกจากการใส่แว่นแล้ว ยังมีหลายวิธีในการรักษาสายตาสั้นขึ้นอยู่กับค่าสายตาและความสะดวกของแต่ละบุคคล เช่น ใส่คอนแท็กต์เลนส์ คอนแท็กต์เลนส์เป็นวิธีที่นิยมสำหรับคนที่มีปัญหาสายตาสั้น เพราะสะดวก ไม่ต้องใส่แว่น เหมาะสำหรับสายตาสั้น 50 หรือ 200 ขึ้นไป ข้อดีคือใช้งานสะดวก แต่ก็ต้องมีวินัยในการดูแลความสะอาด หากละเลยอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรืออักเสบที่ตาได้ เลสิกรักษาค่าสายตา เลสิกเป็นการรักษาสายตาสั้นโดยการใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตาให้แบนลง เพื่อให้จุดตัดของแสงมาตรงที่จอตา ซึ่งช่วยแก้ไขสายตาสั้นได้สูงสุดถึง -14.00 ไดออปเตอร์ ข้อจำกัดของการทำเลสิกคือกระจกตาต้องมีความหนาพอและค่าสายตาต้องคงที่ เนื่องจากไม่สามารถทำซ้ำได้ง่ายหากมีการเปลี่ยนแปลงของค่าสายตาหลังการทำเลสิก SMILE Pro® รักษาค่าสายตา SMILE Pro® เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน มอบความรวดเร็วและความแม่นยำสูง โดยใช้เลเซอร์ VisuMax 800 ซึ่งสามารถแก้ไขสายตาได้ภายในเพียง 8 วินาทีต่อข้าง โดยไม่ต้องเปิดแผลขนาดใหญ่ ทำให้เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะตาแห้ง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขสายตาอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย Femto LASIKแยกชั้นกระจกตา Femto LASIK หรือเลสิกไร้ใบมีด ใช้เลเซอร์ในการแยกชั้นกระจกตาให้มีความแม่นยำสูง โดยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด ข้อจำกัดคือจะทำให้ตาแห้งมากหลังผ่าตัด และแผลผ่าตัดจะมีขนาดใหญ่ ทำให้ต้องระมัดระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ วิธีนี้สามารถแก้ไขสายตาสั้นได้ระหว่าง -1.00 ถึง -10.00 ไดออปเตอร์ PRK แก้ไขค่าสายตา PRK เป็นการแก้ไขค่าสายตาโดยการปรับความโค้งกระจกตาด้านนอกโดยไม่ต้องเปิดชั้นกระจกตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาชีพเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่ตา เช่น ตำรวจหรือทหาร อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่มีข้อจำกัด เช่น ตาแห้งหรือกระจกตาบาง ข้อจำกัดของวิธีนี้คือสามารถแก้ไขสายตาสั้นได้สูงสุดที่ -5.00 ไดออปเตอร์ และหลังการผ่าตัดต้องใส่คอนแท็กต์เลนส์พิเศษเพื่อให้กระจกตาฟื้นตัว ทำICL ใส่เลนส์เทียม ICL (Implantable Collamer Lens) เป็นการรักษาสายตาด้วยการใส่เลนส์เทียมเข้าไปในตาเพื่อปรับการหักเหแสง แผลจากการผ่าตัดมีขนาดเล็กเพียง 3 มิลลิเมตร ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 10-15 นาที   วิธีนี้ปลอดภัยมากและสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีค่าสายตาสั้นสูง หรือผู้ที่มีตาแห้งและกระจกตาบาง ข้อจำกัดคืออาจพบความผิดปกติของความดันตาหลังการผ่าตัด แต่สามารถควบคุมได้โดยแพทย์   สรุป ค่าสายตาสั้นคือความผิดปกติของการหักเหแสงในตา ทำให้มองเห็นภาพในระยะไกลไม่ชัดเจน โดยเกิดจากดวงตาที่ยาวเกินไปหรือความโค้งของกระจกตาที่มากเกินไป การรักษาหลักๆ ได้แก่ การใส่แว่นตา คอนแท็กต์เลนส์ หรือการผ่าตัด เช่น เลสิกหรือการใส่เลนส์เทียม ICL ขึ้นอยู่กับระดับค่าสายตาและความต้องการของผู้ใช้   ศูนย์เลเซอร์วิชั่น Bangkok Eye Hospitalบริการทำเลสิกสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้น ซึ่งเป็นวิธีการรักษาค่าสายตาด้วยการใช้เลเซอร์ปรับรูปกระจกตาให้มีความโค้งที่เหมาะสม เพื่อให้การมองเห็นในระยะไกลชัดเจน โดยไม่ต้องใส่แว่นตาหรือคอนแท็กต์เลนส์หลังการผ่าตัด   FAQ หลายคนมักมีคำถามเกี่ยวกับค่าสายตา ในส่วนนี้เราจะตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับค่าสายตา เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจค่าสายตาของตัวเองได้ง่ายขึ้น   ค่าสายตา +1.75 คืออะไร   ค่าสายตายาวจะมีเครื่องหมายบวก (+) เช่น +1.75 ซึ่งหมายความว่าผู้ที่มีค่าสายตานี้จะพบปัญหาในการมองเห็นวัตถุใกล้   ค่าสายตาปกติเท่ากับเท่าไร ค่าสายตา 0.00 หมายถึงค่าสายตาปกติ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้แว่นตาหรือการแก้ไขใดๆ เพราะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งระยะใกล้และไกล ค่าสายตา -1.25 คือเท่าไร   ค่าสายตา -1.25 คือค่าสายตาที่เริ่มทำให้มองเห็นไม่ชัดในบางช่วง หรือจำเป็นต้องมองใกล้ขึ้น การใส่แว่นตลอดเวลาจะช่วยลดความเครียดจากการใช้สายตามากเกินไป

ที่อยู่

ช่องทางติดต่อ

calling
ติดต่อเรา :