มุมสุขภาพตา : #จอประสาทตาเสื่อม

เรียงตาม

กระจกตาบางเกิดจากอะไร? อาการ ผลกระทบต่อสายตาและวิธีรักษา

กระจกตาบางคือภาวะที่กระจกตาซึ่งเป็นชั้นโปร่งใสด้านหน้าตาของดวงตามีความหนาน้อยกว่าปกติ ส่งผลต่อการมองเห็นและสุขภาพตา กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมตามวัย การขยี้ตาบ่อยๆ โรคทางพันธุกรรม หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา เช่น เลสิก อาการของกระจกตาบางที่สังเกตได้ เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และสายตาเอียงสูงผิดปกติ กระจกตาบางคือภาวะที่ความหนาของกระจกตาลดลงกว่าปกติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการโฟกัสแสงเข้าสู่ดวงตา ทำให้การมองเห็นมีความคมชัด หากกระจกตาบางเกินไป อาจเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสายตา เช่น สายตาผิดปกติ หรือมีผลกระทบต่อการรักษาดวงตาด้วยวิธีต่างๆ เช่น เลสิก การเข้าใจสาเหตุ อาการ และการดูแลกระจกตาบางอย่างถูกต้อง จึงช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและดูแลสุขภาพตาได้ดีขึ้น       กระจกตาคืออะไร? สิ่งสำคัญต่อการมองเห็น กระจกตา (Cornea) คือชั้นโปร่งใสและโค้งอยู่ด้านหน้าสุดของดวงตา ครอบคลุมตาดำ มีหน้าที่ช่วยหักเหแสงให้เข้าสู่ดวงตา ทำให้เรามองเห็นชัดเจน และยังเป็นเกราะป้องกันเชื้อโรคโดยตรง โดยปกติความหนาของกระจกตาจะอยู่ที่ประมาณ 520-550 ไมครอน และสามารถบางลงได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย       รู้จักกับกระจกตาบาง กระจกตาบางคือลักษณะของกระจกตาที่มีความหนาน้อยกว่า 500 ไมครอน (0.5 มิลลิเมตร) โดยทั่วไปไม่ถือเป็นโรคและไม่ต้องรักษา แต่กระจกตาบางจะส่งผลต่อการวินิจฉัยโรคบางอย่าง เช่น ต้อหิน เพราะทำให้วัดความดันตาต่ำกว่าความจริง รวมถึงส่งผลต่อการเลือกวิธีแก้ไขสายตา เช่น หากผู้ป่วยต้องการทำ LASIK และ มีระดับค่าสายตาที่มีผิดปกติสูง เช่น สั้น หรือ เอียงมาก โดยมีความหนาของกระจกตาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกันกับเนื้อกระจกตาที่ต้องใช้ผ่าตัด หลังจากได้รับการตรวจจากผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด เเพทย์ประเมินแล้วอาจจะไม่สามารถแก้ไขค่าสายตาได้หมด หรืออาจทำให้ กระจกตาเสี่ยงเป็นโรคกระจกตาอื่นๆหลังการแก้ไข เเพทย์อาจประเมินให้ผู้ป่วยทำการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆ เช่น PRK ICL FemtoLASIK ReLEx SMILE Pro หรือ NanoLASIK  แทนการทำ LASIK แบบทั่วๆไป ซึ่งเป็นการเเก้ไขที่ใช้หรือรบกวนความหนาของกระจกตาน้อยกว่าเพราะฉะนั้น ก่อนทำเลสิกจึงต้องสังเกตและตรวจประเมินความหนาของกระจกตาอย่างละเอียด เพราะหากบางเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะสายตาเอียงผิดปกติ หรือกระจกตาย้วย ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ นอกจากนี้หลายคนยังสงสัยว่า “ใส่คอนแท็กต์เลนส์ ทำให้กระจกตาบางจริงไหม?” คำตอบคือ โดยทั่วไปการใส่คอนแท็กต์เลนส์อย่างถูกวิธี ไม่ได้ทำให้กระจกตาบางลง แต่หากใส่นานเกินไป ไม่ถอดล้างหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดภาวะขาดออกซิเจนที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อบางลงได้เช่นกัน       กระจกตาบางเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง? กระจกตาบางเกิดได้จากหลายสาเหตุ การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพตาได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น โดยสาเหตุที่พบได้บ่อย มีดังนี้   โรคทางพันธุกรรม แม้ว่าภาวะกระจกตาบางมักเกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง แต่ในบางกรณี ความผิดปกตินี้อาจมีสาเหตุจากโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดภายในครอบครัว หนึ่งในโรคที่พบบ่อย คือ กระจกตาย้วย (Keratoconus) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะกระจกตาบาง กระจกตาจะบางลงและโป่งยื่นออกมาคล้ายรูปกรวย ทำให้สายตาเอียงผิดปกติ และการมองเห็นแย่ลงเรื้อรัง มักเริ่มแสดงอาการในช่วงวัยรุ่นถึงอายุ 30 ปี โรคกระจกตาบางจากพันธุกรรมอื่นๆ (Corneal Dystrophies) เช่น Pellucid Marginal Degeneration (PMD) ซึ่งกระจกตาจะบางลงบริเวณขอบด้านล่าง   การบาดเจ็บหรือการผ่าตัดตา การผ่าตัดแก้ไขสายตาบางประเภท เช่น การทำเลสิก (LASIK) หรือ PRK อาจส่งผลให้กระจกตาบางลงได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเลเซอร์เนื้อกระจกตา ออกไปมากเกินความจำเป็น ทำให้ความหนาของกระจกตาที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาย้วยในอนาคต นอกจากนี้การบาดเจ็บที่กระจกตาซ้ำๆ รวมถึงการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น แผลที่กระจกตาหรือกระจกตาอักเสบ ก็สามารถทำลายเนื้อเยื่อกระจกตาและทำให้เกิดการบางลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที   โรคอื่นๆ หรือการใช้ยา โรคทางภูมิคุ้มกันบางชนิด เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรือโรคเอสแอลอี (SLE) อาจส่งผลกระทบต่อกระจกตา ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะกระจกตาบางได้ในระยะยาว เนื่องจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเนื้อเยื่อของตาเอง ในขณะเดียวกัน การใช้ยาหยอดตาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อโครงสร้างของกระจกตา ทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาอ่อนแอและบางลงได้เช่นกัน       อาการของภาวะกระจกตาบาง ภาวะกระจกตาบางมักพัฒนาอย่างช้าๆ จนอาจไม่สังเกตเห็นได้ในระยะแรก การเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที โดยอาการที่อาจพบมีดังนี้ การมองเห็นพร่ามัวหรือไม่ชัดเจน ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ มีค่าสายตาเอียงสูงกว่าปกติ มองเห็นภาพบิดเบี้ยว หรือมีลักษณะผิดรูปจากความจริง       วิธีการตรวจและวินิจฉัยกระจกตาบาง โดยปกติแล้วภาวะกระจกตาบางมักถูกตรวจพบในขั้นตอนการประเมินสายตาก่อนทำเลสิก ซึ่งแพทย์จะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Keratometerตรวจวัดความโค้งของกระจกตาและค่าสายตาเอียง โดยการสะท้อนแสงบนกระจกตาเพื่อตรวจหารูปร่างและความโค้งที่ผิดปกติ ซึ่งความโค้งที่ผิดปกตินี้ อาจสัมพันธ์กับความบางของกระจกตา นอกจากนั้นยังมีการตรวจ Corneal Tophography หรือแผนภูมิดวงตาเพื่อประเมินค่าความหนาบางและความผิดปกติของกระจกตาอื่นๆด้วย โดยอาจจะมีการวัด Tomographic Biomechanical Index หรือ ค่าความเเข็งเเรงของกระจกตา เสริมเพื่อตรวจความเสี่ยงของโรค Corneal Ectasia หรือโรคกระจกตาโป้งอีกด้วย แม้ว่าจะสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ เช่น มองเห็นไม่ชัดหรือค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย แต่การวินิจฉัยว่ามีกระจกตาบางจริงหรือไม่นั้น ต้องอาศัยการตรวจโดยจักษุแพทย์เท่านั้น เพราะการสังเกตอาการด้วยตนเองเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น ไม่สามารถยืนยันผลได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าตนเองมีกระจกตาบาง ควรเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการดูแลและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น   สรุป กระจกตาบางเป็นภาวะที่หลายคนไม่รู้ตัว แต่สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาพร่ามัว ค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย หรือภาพบิดเบี้ยว ซึ่งอาจเกิดจากพันธุกรรม โรคภูมิคุ้มกัน การผ่าตัดแก้ไขสายตา หรือการใช้ยาบางชนิด การตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนทำเลสิก ควรเข้ารับการตรวจวัดความหนาและความโค้งของกระจกตาอย่างละเอียดที่ Bangkok Eye Hospital ด้วยเครื่องมือทันสมัยและแพทย์เฉพาะทาง เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพดวงตาได้อย่างมั่นใจ   คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกระจกตาบาง (FAQ) หลายคนที่เพิ่งเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบางอาจมีข้อสงสัยมากมาย เพื่อช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาวะกระจกตาบาง พร้อมคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันในบทความนี้   ทำอย่างไรให้กระจกตาหนาขึ้น ความหนาของกระจกตาไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่เกิดจากโครงสร้างภายในชั้นกระจกตาเอง   ถ้าปล่อยให้กระจกตาบางแล้วไม่รักษา จะเป็นอย่างไร? สายตาพร่ามัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ปกติได้ กระจกตาโป่งยื่นออกมามากผิดปกติ ทำให้การมองเห็นแย่ลงอย่างถาวร ในบางกรณีรุนแรงมาก อาจเกิดภาวะกระจกตาบวมน้ำฉับพลัน (Acute Hydrops) หรือกระจกตาทะลุ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตา   สามารถป้องกันภาวะกระจกตาบางได้ไหม หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพราะการขยี้ตาเป็นประจำและรุนแรงสามารถทำให้กระจกตาบางลงและเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกระจกตาย้วยแย่ลง ดูแลสุขภาพตาโดยรวม เช่น ไม่ใช้คอนแท็กต์เลนส์นานเกินไป และรักษาความสะอาดของดวงตา พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเกี่ยวกับกระจกตา เพื่อให้สามารถวินิจฉัยและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งจะให้ผลลัพธ์การรักษาที่ดีกว่า  
อ่านเพิ่มเติม

รู้จักอาการและปัจจัยเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อม พร้อมวิธีการดูแลรักษา

จอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่มักพบในผู้สูงอายุ ทำให้การมองเห็นส่วนกลางเสื่อมลงจากการเสื่อมสภาพของจอประสาทตา  จอประสาทตาเสื่อมทำให้มีอาการมองเห็นเป็นภาพเบลอ มองเห็นเป็นจุดดำๆ หรือมองเห็นเป็นแสงจ้า วิธีรักษาจอประสาทตาเสื่อม ได้แก่ การฉีดยา เลเซอร์ และการผ่าตัด ส่วนการป้องกันควรรักษาสุขภาพตา โดยการไม่สูบบุหรี่ ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพตาปีละครั้ง การรักษาจอประสาทตาเสื่อมที่ศูนย์รักษาโรคจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) มีบริการครบวงจรโดยจักษุแพทย์ พร้อมเทคโนโลยีทันสมัยและการดูแลแบบเฉพาะบุคคล   จอประสาทตาเสื่อมเป็นภาวะที่มักพบในกลุ่มผู้สูงอายุ ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น ทำให้มองเห็นไม่ชัด มองเห็นเป็นจุดดำ และมองเห็นเป็นแสงจ้า มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อมเพื่อดูแลสุขภาพตาและลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต บทความนี้ได้รวบรวมไว้ให้แล้ว     โรคจอประสาทตาเสื่อม คืออะไร จอประสาทตาเสื่อม (AMD) เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุสูญเสียการมองเห็น โดยโรคนี้เกิดจากความเสื่อมสภาพของร่างกายโดยเฉพาะที่จอประสาทตา ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นส่วนกลางของภาพ ขณะที่การมองเห็นขอบภาพยังคงปกติ    โรคนี้เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ในจุดศูนย์กลางของจอประสาทตา (Macula) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการมองเห็น ทำให้การมองเห็นส่วนกลางค่อยๆ เสื่อมไป อาจเริ่มจากภาพตรงกลางที่ไม่ชัดเจน ภาพบิดเบี้ยว หรือสีผิดเพี้ยน จนกระทั่งไม่สามารถมองเห็นภาพตรงกลางได้ในที่สุด โดยจอประสาทตาเสื่อมสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้ 1. จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง (Dry AMD) รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุด ประมาณ 80-90% เกิดจากการสะสมของเสียที่จอประสาทตา ส่งผลให้เซลล์รับแสงเสื่อมสภาพอย่างช้าๆ ทำให้การมองเห็นลดลงทีละน้อย ซึ่งเป็นผลจากการเสื่อมตามอายุ 2. จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD) จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียกพบได้ประมาณ 10-20% แต่มีความรุนแรงมากกว่า เกิดจากการสร้างเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติใต้จอประสาทตา ซึ่งเส้นเลือดเหล่านี้อาจรั่วหรือแตก ทำให้เกิดการบวมและแผลเป็นที่จอประสาทตา ผู้ป่วยจึงเริ่มมองเห็นภาพตรงกลางบิดเบี้ยวและมืดลง ส่งผลให้การมองเห็นสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว และเป็นสาเหตุสำคัญของการตาบอดในกลุ่มผู้สูงวัย     อาการของจอประสาทตาเสื่อมเป็นอย่างไร โรคจอประสาทตาเสื่อมส่งผลกระทบต่อการมองเห็นได้อย่างรุนแรง โดยจะมีการแบ่งระยะของอาการจอประสาทตาเสื่อมออกเป็น 3 ระยะ ซึ่งแต่ละระยะจะมีอาการและความรุนแรงที่แตกต่างกันไป ได้แก่ จอประสาทตาเสื่อมระยะแรก จอประสาทตาเสื่อมแบบแห้งอาการเริ่มต้นมักจะไม่ชัดเจน ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวจนกว่าภาวะเสื่อมจะดำเนินไปในระยะหนึ่ง จอประสาทตาเสื่อมระยะกลาง ในระยะกลางของจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง บางคนอาจยังไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ขณะที่บางคนอาจเริ่มสังเกตเห็นอาการเล็กน้อย เช่น ภาพเบลอเล็กน้อยในบริเวณศูนย์กลางภาพ หรือพบปัญหาในการมองเห็นในที่มีแสงน้อย จอประสาทตาเสื่อมระยะสุดท้าย ในระยะสุดท้ายของจอประสาทตาเสื่อม (ทั้งแบบเปียกและแห้ง) มองเห็นภาพเส้นตรงเป็นคลื่นหรือโค้งงอ และบริเวณใกล้ศูนย์กลางภาพอาจเบลอและขยายใหญ่ขึ้น สีภาพอาจไม่สดใสเหมือนเดิม และการมองเห็นในที่แสงน้อยอาจยากขึ้น สาเหตุที่ทำให้เป็นจอประสาทตาเสื่อม  จอประสาทตาเสื่อมเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุเหล่านี้จะช่วยในการป้องกันและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุที่พบบ่อยมีดังนี้ อายุที่มากขึ้น โดยพบโรคนี้บ่อยขึ้นในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป มีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ผู้ที่มีญาติสายตรงควรตรวจเช็กจอประสาทตาทุกๆ 2 ปี พบการเกิดโรคสูงในคนผิวขาว (Caucasian) โดยเฉพาะเพศหญิงที่มีอายุมากกว่า 60 ปี การดื่มสุราและสูบบุหรี่ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้ ผู้ที่มีความดันเลือดสูงหรือทานยาลดความดันเลือด พร้อมทั้งมีระดับไขมัน (Cholesterol) สูงและระดับ Carotenoid ต่ำในเลือด  ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ไม่ได้รับฮอร์โมน Estrogen การสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) และแสงสีฟ้าที่มาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนเป็นระยะเวลานาน     ตรวจจอประสาทตาเสื่อมได้ด้วยวิธีไหนบ้าง การวินิจฉัยโรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาและป้องกันการสูญเสียการมองเห็น วิธีการวินิจฉัยโรคนี้มีหลายวิธี ซึ่งสามารถช่วยให้แพทย์ตรวจพบอาการจอประสาทตาเสื่อมได้อย่างแม่นยำ ได้แก่  การตรวจขยายม่านตา แพทย์จะใช้ยาหยอดตา 1-2 ชนิด หยอดทุก 5-10 นาที และให้ผู้ป่วยหลับตาระหว่างนั้น เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ การหยอดใช้เวลาประมาณ 45 นาที จนกว่าม่านตาจะขยายเต็มที่ เพื่อช่วยให้ตรวจหาความผิดปกติของจอประสาทตาได้ชัดเจน การตรวจจอประสาทตา การฉีดสาร Fluorescein เข้าเส้นเลือดดำเพื่อตรวจดูจอประสาทตา ช่วยให้แพทย์สามารถเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสัญญาณของโรคจอประสาทตาเสื่อม การสแกนจอประสาทตา แพทย์จะใช้กล้องถ่ายภาพจอประสาทตาหรือวิธี OCT (Optical Coherence Tomography) เพื่อตรวจหาความผิดปกติหรือการเสื่อมของเซลล์ในจอประสาทตา     วิธีการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อม การรักษาจอประสาทตาเสื่อมมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค โดยแพทย์จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละกรณี ดังนี้ การใช้ยาและอาหารเสริม วิธีรักษาจอประสาทตาเสื่อมด้วยยาต้าน VEGF (Vascular Endothelial Growth Factor) เป็นการฉีดยาสำหรับรักษาจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ซึ่งช่วยยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติ ส่วนการรับประทานวิตามินซี วิตามินอี เบตาแคโรทีน สังกะสี และทองแดง อาจช่วยชะลอการลุกลามของจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้งในบางรายได้   ข้อดี ยาฉีดเหมาะกับการรักษาจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก วิตามินและแร่ธาตุมีราคาถูก และปลอดภัย ข้อจำกัด ยาฉีดควรฉีดเข้าดวงตาอยู่เสมอและอาจมีผลข้างเคียง วิตามินและแร่ธาตุได้ผลแค่กับเฉพาะบางคน การฉายเลเซอร์ การฉายเลเซอร์เพื่อรักษาจอประสาทตาเสื่อมมี 2 แบบ ได้แก่ Photodynamic therapy (PDT) ซึ่งใช้เลเซอร์ร่วมกับยาฉีดเพื่อทำลายเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติ และ Laser photocoagulation ที่ใช้เลเซอร์ในการทำลายเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติโดยตรง ข้อดี ทำลายเส้นเลือดใหม่ที่ผิดปกติได้ดี ข้อจำกัด อาจทำให้เกิดการทำลายเนื้อเยื่อปกติรอบๆ และไม่สามารถได้ผลกับทุกคน การผ่าตัดจอประสาทตาเสื่อม การผ่าตัดเพื่อรักษาจอประสาทตาเสื่อมมี 2 วิธี ซึ่งแต่ละวิธีจะถูกเลือกใช้ตามลักษณะและความรุนแรงของโรค ดังนี้ ผ่าตัดนำเลือดออก ช่วยเอาเลือดออกจากดวงตา เพื่อลดความดันและป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายถาวรต่อจอประสาทตา ผ่าตัดปลูกถ่ายจอประสาทตา เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการทดลอง การรักษานี้มุ่งหวังที่จะช่วยฟื้นฟูการมองเห็นของผู้ป่วย การใช้เทคโนโลยีใหม่ วิธีการใหม่ในการรักษาจอประสาทตาเสื่อมมีหลายรูปแบบที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการฟื้นฟูการมองเห็นและชะลอการเสื่อมของจอประสาทตา ดังนี้ ยาฉีดชนิดใหม่ ที่ออกฤทธิ์นานขึ้นมีประโยชน์ในการช่วยลดความถี่ในการฉีด ซึ่งเป็นการทำให้ผู้ป่วยสะดวกสบายมากขึ้นและลดภาระในการเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง Gene Therapy เป็นการรักษาโดยการใส่ยีนที่ปกติลงในเซลล์จอประสาทตาเพื่อซ่อมแซมความเสียหาย การทำงานของจอประสาทตาและชะลอการเสื่อมของการมองเห็น Stem Cell Therapy ใช้สเต็มเซลล์เพื่อสร้างเซลล์จอประสาทตาใหม่ ช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหายและคืนการมองเห็นให้กับผู้ป่วย การป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม การป้องกันนี้มีเป้าหมายเพื่อชะลอการเกิดภาวะจอประสาทตาเสื่อมให้ช้าลง ซึ่งประกอบด้วยแนวทางต่างๆ ที่นำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ดังนี้ งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ติดมันและอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ควบคุมความดันโลหิตและระดับไขมันในเลือด ควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักใบเขียว เนื้อปลา และผลไม้ แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีเบตาแคโรทีน โดยเฉพาะลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ในปริมาณสูง เช่น แอปเปิล บรอกโคลี ข้าวโพด แตงกวา องุ่น มะม่วง ส้ม ฟักทอง ผักโขม ถั่ว พริก และไข่แดง เป็นต้น ตรวจสุขภาพและตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี สวมแว่นตากันแดดที่เคลือบสารป้องกันรังสี UV และใช้ร่มที่สะท้อนรังสี UV เมื่อออกกลางแดด สรุป จอประสาทตาเสื่อมเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุสูญเสียการมองเห็นส่วนกลางของภาพ อาการของจอประสาทตาเสื่อม เช่น การมองเห็นภาพเบลอ มองเห็นจุดดำ หรือมองเห็นเป็นแสงจ้า สาเหตุมักเกิดจากอายุ พันธุกรรม โรคเบาหวาน หรือการสูบบุหรี่ การรักษาจอประสาทตาเสื่อมทำได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการฉีดยาเลเซอร์ การใช้ยาต้าน VEGF และการผ่าตัด และเพื่อป้องกันจอประสาทตาเสื่อม ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ควบคุมสุขภาพ เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา และตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ  หากเป็นจอประสาทตาเสื่อม มารับการรักษาได้ที่ ศูนย์รักษาโรคจอประสาทตา Bangkok Eye Hospital (โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ) ที่นี่มีบริการดูแลและรักษาโรคจอประสาทตาอย่างครบวงจร โดยจักษุแพทย์ ราคาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทการรักษา
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

5 สุดยอดอาหารบำรุงจอประสาทตา

5 สุดยอดอาหารบำรุงจอประสาทตา :  เสริมแกร่งสายตาคู่ใจ เพื่อการมองเห็นที่คมชัด จอประสาทตา คือ อวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่รับภาพและส่งสัญญาณไปยังสมอง ทำให้เรามองเห็นโลกอันสวยงามรอบตัวเรา การดูแลรักษาจอประสาทตาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากเกิดความเสียหายขึ้น อาจส่งผลต่อการมองเห็นอย่างถาวรได้ นอกจากการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยบำรุงและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับจอประสาทตาได้ อาหาร 5 ชนิด ที่ช่วยบำรุงจอประสาทตา และความสำคัญของสารอาหารแต่ละชนิดในอาหาร 1.    ผักใบเขียวเข้ม : ผักใบเขียว เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม และผักบุ้ง อุดมไปด้วยลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องจอประสาทตาจากแสงสีฟ้าและรังสียูวี o    ลูทีนและซีแซนทีน : ทำหน้าที่เป็นเหมือน “แว่นกันแดดภายใน” ช่วยกรองแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา และยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ (Age-related Macular Degeneration - AMD) อ้างอิงจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Ophthalmology 2.    ปลาที่มีไขมันสูง : ปลาแซลมอน ปลาทูน่า และปลาแมคเคอเรล เป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งมีส่วนสำคัญในการรักษาสุขภาพของจอประสาทตา o    กรดไขมันโอเมก้า-3 : ช่วยลดการอักเสบและป้องกันจอประสาทตาแห้ง นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าโอเมก้า-3 อาจช่วยชะลอการลุกลามของโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ อ้างอิงจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Archives of Ophthalmology 3.    ไข่ : ไข่แดงอุดมไปด้วยลูทีน ซีแซนทีน และสังกะสี o    สังกะสี : ช่วยในการขนส่งวิตามินเอไปยังจอประสาทตา ซึ่งวิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการมองเห็นในที่แสงน้อย การขาดสังกะสีอาจนำไปสู่ภาวะตาบอดกลางคืนได้ 4.    ผลไม้ตระกูลเบอร์รี : บลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี และราสเบอร์รี เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ o    สารต้านอนุมูลอิสระ : ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาจากความเสียหาย และยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังดวงตา ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพตาโดยรวม 5.    ถั่วและเมล็ดพืช : อัลมอนด์ วอลนัท และเมล็ดทานตะวัน เป็นแหล่งของวิตามินอี o    วิตามินอี : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา วิตามินอียังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อมตามที่ระบุในวารสารทางการแพทย์หลายฉบับ เมนูอาหารบำรุงสายตาที่คุณสามารถทำเองได้ง่ายๆ สลัดผักโขมกับปลาแซลมอนย่าง : อุดมไปด้วยลูทีน ซีแซนทีน และโอเมก้า-3 ไข่เจียวใส่ผัก : ได้รับทั้งลูทีน ซีแซนทีน และสังกะสี โยเกิร์ตกับผลไม้รวมและถั่ว : รวมสารอาหารบำรุงสายตาหลายชนิดไว้ในเมนูเดียว น้ำปั่นบลูเบอร์รี : ดื่มง่าย ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระเต็มๆ ผลงานวิจัยสนับสนุน งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Ophthalmology พบว่า การรับประทานอาหารที่มีลูทีนและซีแซนทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมขั้นสูงได้ งานวิจัยในวารสาร Archives of Ophthalmology ระบุว่า ผู้ที่รับประทานปลาที่มีไขมันสูงเป็นประจำ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมน้อยกว่าผู้ที่ไม่ค่อยรับประทาน  ที่ศูนย์รักษาจอประสาทตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ เรามีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านจอประสาทตา พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย คอยให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคทางจอประสาทตาอย่างครบวงจรหากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพตา หรือต้องการเข้ารับการตรวจเช็คสุขภาพตา สามารถติดต่อได้ที่ 02-511-2111 ศูนย์รักษาจอประสาทตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ ได้ทันที เราพร้อมดูแลดวงตาของคุณ เพื่อให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมองเห็นโลกได้อย่างชัดเจน สุขภาพตาที่ดี เริ่มต้นจากการใส่ใจ
ศูนย์รักษาจอประสาทตา

จอประสาทตา: กุญแจสำคัญสู่โลกที่สดใส - ใส่ใจสุขภาพดวงตา ตรวจเช็กก่อนสาย

"จอประสาทตา" กุญแจสำคัญสู่โลกที่สดใส ดวงตา คือ หน้าต่างที่เปิดให้เราเห็นโลกใบนี้ แต่เบื้องหลังความงดงามนั้น มี "จอประสาทตา" หรือเรตินา ทำหน้าที่เสมือนกล้องถ่ายรูปที่มีความละเอียดสูงสุด คอยบันทึกทุกภาพที่เราเห็น แปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วส่งต่อไปยังสมอง ให้เราได้สัมผัสกับสีสัน ความเคลื่อนไหว และรายละเอียดต่างๆ รอบตัว จอประสาทตา สำคัญอย่างไร? ลองนึกภาพว่า หาก "กล้อง" หรือจอประสาทตาของเราเกิดขีดข่วนหรือเสียหาย ภาพที่ออกมาก็จะเบลอ พร่ามัว ไม่คมชัด จอประสาทตาก็เช่นกัน หากเกิดความผิดปกติจะส่งผลโดยตรงต่อการมองเห็น อาจเริ่มจากตามัว มองเห็นภาพบิดเบี้ยว จนลุกลามถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อคุณภาพชีวิต ภัยเงียบที่จ้องคุกคาม : โรคจอประสาทตา โรคจอประสาทตามีหลายชนิด บางชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ค่อยๆ ทำลายการมองเห็นอย่างช้าๆ จึงเป็น "ภัยเงียบ" ที่เราต้องตระหนักและหมั่นตรวจเช็คสุขภาพดวงตาอยู่เสมอ ตัวอย่างโรคจอประสาทตาที่พบบ่อย ได้แก่ :       • จอประสาทตาเสื่อม : พบมากในผู้สูงอายุ ทำให้สูญเสียการมองเห็นบริเวณกลางภาพ ส่งผลต่อการอ่านหนังสือ การขับรถ และกิจวัตรประจำวันอื่นๆ       • เบาหวานขึ้นจอประสาทตา : ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน ทำให้หลอดเลือดที่จอประสาทตาผิดปกติ อาจนำไปสู่การมองเห็นภาพซ้อน หรือสูญเสียการมองเห็นได้       • จอประสาทตาฉีกขาด : เกิดจากการลอกตัวของชั้นจอประสาทตา อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างกะทันหัน จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน ในโอกาสวันจอประสาทตาโลกนี้ โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ ขอเชิญชวนทุกท่านมาดูแลและใส่ใจสุขภาพดวงตา โดยเฉพาะการตรวจเช็คจอประสาทตาเป็นประจำเพื่อป้องกันและรักษาความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคทางตา ศูนย์รักษาจอประสาทตา โรงพยาบาลจักษุกรุงเทพ: มั่นใจ..ด้วยทีมแพทย์เฉพาะทาง เรามีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านจอประสาทตา พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย คอยให้บริการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคจอประสาทตาอย่างครบวงจร ด้วยความใส่ใจและมาตรฐานระดับสากล เพื่อให้คุณมั่นใจว่าดวงตาของคุณจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด  
calling
ติดต่อเรา : +662 511 2111